วันอาทิตย์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ชั้นธุรกิจสไตล์โลว์คอสต์ แต่ไฮควอลิตี้

เมิ่อพฤษภาคม 2560 วางแผนว่าจะไปเที่ยวญี่ปุ่นเปิดเจอโปรโมชั่นของแอร์เอเชีย ซึ่งมักจะมีตลอดเจอเงื่อนไขส่วนลด จึงกำหนดวันว่าจะไปประมาณกุมภาพันธ์ 2561 นานมาก เพราะระยะเวลาโปรฯ ให้บินเริ่มต้นเดือนนั้นเป็นต้นไปก็เลยจัดทันที ระหว่างลากเม้าส์ไปมา คลิกเลือกวันไปวันกลับ สายตาเหลือบไปเห็นคำว่า Premium Flatbed จึงเริ่มหาข้อมูลว่า มันคืออะไร สรุปด้วยภาษาง่ายๆ ก็คือ ชั้นธุรกิจสไตล์ Airasia X เหตุที่ไม่เรียกว่าชั้นธุรกิจคงกลัวความคาดหวังของลูกค้าจะสูงลิ่วเทียบชั้นกับบรรดาสายการบิน Full Service หลังจากหาข้อมูลไม่กี่นาทีจึงเกิด "อาการใจง่าย" ตกลงปลงใจ จองไป 3 ที่ ไป-กลับ ขาไป ดอนเมือง-ญี่ปุ่น(นาริตะ) ไฟลท์ XJ600 กางปีกออกเดินทางเวลา 23.45 น. ของวันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ และ ขากลับ ญี่ปุ่น(นาริตะ)-ดอนเมือง ไฟลท์ XJ601 ออกเดินทาง 09.15 น.ถึงดอนเมือง 14.30 น. ราคาที่นั่ง Flatbed ไป-กลับ คนละประมาณ 21,619.00 บาท  ลืมบอกไปครับ ในการจองผ่านเว็บไซต์เราสามารถเลือกที่นั่งได้เลยครับ ใครประสงค์จะนั่งริมหน้าทางก็เลือกได้ ริมทางเดินก็เลือกได้ บอกไว้ก่อนว่า ถ้าใครเลือกริมหน้าต่างและนั่งคนเดียวแถมเข้าห้องน้ำบ่อย ก็อาจจะต้องฝ่าด่านคนที่ไม่รู้จักออกมาจะด้วยการบอกตรงๆ หรือกระโดดข้ามอันนี้ตามอัธยาศัย แต่ถ้าไปเป็นคู่เพื่อนกัน ก็คงจะไม่ต้องเกรงใจกันเท่าไหร่ แต่ถ้าใครไม่ซีเรียสการชมวิวขณะเครื่องบินกำลัง Taxi (วิ่งอยู่บนรันเวย์) Take off (เครื่องขึ้น) และ Landing (เครื่องลง) ก็อาจจะนั่ง 2 ที่นั่งที่อยู่ตรงกลางก็ได้จะเดินเข้าออกกี่รอบก็ได้ไม่ต้องเกรงใจใคร

...และแล้วก็ถึงวันเดินทาง เริ่มต้นด้วยการเช็คอินบนพรมแดงสำหรับ Premium Flatbed เข้าเช็คอินโดยไม่ต้องต่อแถวใช้เวลาไม่เกิน 3 นาที แต่ใช้เวลาถ่ายรูป 10 นาที

สิทธิพิเศษแรกที่สัมผัสได้คือ เช็คอินก่อนใครเพื่อน ไม่ต้องไปต่อแถวกับที่นั่งปกติ Hot Seat และ Quiet Zone

ถ่ายรูปเป็นที่ระทึกก่อนเดินทางกัน
ชั้นธุรกิจสไตล์โลว์คอสต์ มีจำนวน 12 ที่นั่ง

หลังจากเช็คอินพนักงานจะติด Tag กระเป๋าสีเหลืองและแดง

โดย Tag กระเป๋านี้เป็นการบอกว่าให้รีบนำกระเป๋าเหล่านี้ออกมาก่อนเมื่อถึงจุดหมายปลายทาง
เดี๋ยวค่อยมาดูกันว่า เมื่อถึงจุดหมายปลายทางคือ สนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น กระเป๋าเหล่านี้จะมาไวหรือไม่ 

จากนั้นก็เข้าสู่การตรวจหนังสือเดินทางซึ่งใช้ระบบสแกนหนังสือเดินทาง สแกนนิ้วมือและมองกล้องเพื่อบันทึกภาพของเรา ใช้เวลาไม่นาน คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะแยกโซนต่างชาติกับคนไทย บางกรณีหนังสือเดินทางของบางคนอาจจะสแกนไม่ผ่าน ก็จะต้องเดินไปใช้บริการแบบ Manual คือ ตรวจและประทับตราออกนอกประเทศ จากนั้นก็ตรวจกระเป๋าสัมภาระที่ถือขึ้นเครื่อง 

เมื่อผ่านเข้าไปด้านใน ระหว่างรอเวลา Boarding บรรดาทีมเดินทางก็ไปนั่งรอที่ The Coral Lounge อันนี้เสียตังเพิ่มเอง ไม่เกี่ยวกับ Premium Flatbed นะครับ โดยเลาจน์นี้จะอยู่ตรงกันข้ามกับจุดตรวจเอกซเรย์กระเป๋าเลย  ภายในเลาจน์มีอาหารว่าง แซนวิช เครื่องดื่มร้อน เย็น เบียร์ บริการตลอดเวลา พร้อม Free WIFI ที่นั่งหลากหลายรูปแบบ คิดค่าบริการ 700 บาทต่อคนถ้าเป็นสมาชิกของคอรัลเลาจน์ สายการบินต่างๆ ก็มีโปรโมชั่นลด 30 % ต้องลองติดตามดูจาก Facebook แต่ถ้าใครประสงค์จะช้อปก่อนออกเดินทางก็ไม่ต้องไปแยแสเลาจน์นะครับ แนะนำให้ลองหาของฟรีจากค่ายมือถือต่างๆ ไม่ว่าจะเรดการ์ด แบล็คการ์ดของทรู Serenade แต่ละระดับของ AIS 

บริเวณด้านหน้าของเลาจน์ 

คานาเป้ แซนวิช สารพัดชนิด 

มุมสลัดเพื่อสุขภาพก็มา
ที่นั่งสำหรับให้บริการลูกค้าเพียบ
อีกฝั่งหนึ่งของเลาจน์ ทุกโต๊ะมีปลั๊กสำหรับชาร์จแบตเตอรี่ได้
มุมสำหรับคนชอบดื่มชา เครื่องดื่มร้อนก็มีให้บริการ
เวลา 23.05 น. ได้เวลาขึ้นเครื่องกันแล้ว สิทธิพิเศษลำดับสอง กลุ่ม Premium Flatbed จะถูกเรียกขึ้นเครื่องก่อนใคร ดังนั้นจะรออะไร ขึ้นเครื่องกันเลยไปสำรวจด้านในกัน


สิทธิพิเศษที่ 3 Premium Flatbed จะมีจำนวน 12 ที่นั่ง จัดเรียงเป็น 2-2-2  มีทั้งหมด 2 แถว และจะมีห้องน้ำอยู่ด้านหน้า ใช้เฉพาะ 12 ที่นั่งนี้เท่านั้น และมีม่านปิดระหว่าง Flatbed กับโซนถัดไป ซึ่งก็คือ Quiet Zone ที่จะมีราคาแพงกว่าที่นั่งปกติทั่วไป และบริเวณ Quiet Zone ก็จะมีที่นั่งแถวหน้าเป็น Hot Seat ถัดจาก Quiet Zone ไปทางด้านหลังก็จะเป็นที่นั่งปกติ

ที่นั่งใหญ่มาก มีหมอนวางไว้พร้อมกับน้ำดื่ม สักพักแอร์โฮสเตสก็จะนำผ้าห่มมาให้
ถ้าที่นั่งปกติต้องการผ้าห่มต้องจ่ายเงินเพิ่ม 150 บาท

อีกมุมหนึ่งของโซน Premium Flatbed 


จากที่นั่งพื้นที่ที่สามารถนอนปรับเอนที่นั่งและเหยียดขาได้อย่างเต็มที่

ที่เก็บสัมภาระเหนือศีรษะมีพื้นที่ว่างเหลือเฟือไม่แออัดแน่ๆ
อาหารมาเสิร์ฟแบบชุดกะทัดรัด โดยผู้โดยสารสามารถบอกกับแอร์โอสเตสได้ว่าจะให้เสิร์ฟ
หลังจากเครื่องบินขึ้น (Take off) หรือก่อนเครื่องลง (Landing)

โฉมหน้าด้านในอาหารร้อนมากถึงมากทึ่สุด มื้อนี้เป็นข้าวไก่เทอริยากิ
สิทธิพิเศษที่ 4 ได้รับอาหารร้อน 1 ที่ พร้อมน้ำดื่ม อันนี้อาจจะไม่ใช่สิทธิพิเศษเท่าไหร่ เพราะน่าจะ Cover อยู่ในค่าโดยสารอยู่แล้ว

สิทธิพิเศษที่ 5 ได้นอนราบแบบ 180 องศาแบบไม่ต้องเบียด หรือหลังขดหลังแข็งกับที่นั่ง ถ้าบินสายการบินแบบ Full Service ไปกลับ 20,000 กว่าบาท กับการได้ราคาโปรโมชั่นของ Premium Flatbed อันหลังน่าจะสบายกว่า

สิทธิพิเศษที่ 6 ได้รับหมอนและผ้าห่ม (ก็น่าจะรวมอยู่ในค่าโดยสารแล้วเช่นกัน) ถ้าชั้นปกติต้องการผ้าห่มก็จ่ายเพิ่ม 150 บาท

การเดินทางจากสนามบินนานาชาติดอนเมืองสู่สนามบินนานาชาตินาริตะ ประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้ อออกเดินทางเวลา 23.45 น. ตรงเวลาเป๊ะมากๆ กำหนดถึงญี่ปุ่นประมาณ 08.00 น. ปรากฏว่าถึงญี่ปุ่นเวลา 07.00 น.นับว่าได้กำไรอีก 1 ชั่วโมง เอ๊ะหรือจะขาดทุนอยู่บนเครื่องบินน้อยลง

เมื่อลงจากเครื่องบินก็ได้สัมผัสกับความเย็นระดับ 2 องศาเซลเซียส อาการควันออกปากจึงเกิดขึ้น จากนั้นก็มาผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง ผ่านศุลกากร ซึ่งลงมาต้องตะลึงเนื่องจากแถวและผู้คนเยอะมาก แต่ระบบการบริหารจัดการที่ดีพ่วงด้วยเทคโนโลยีต่างๆของญี่ปุ่นทำให้กระบวนการตรงนี้ผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อเดินลงมาบริเวณสายพานรับกระเป๋าก็ได้เห็นภาพกองกระเป๋าของกลุ่มผู้โดยสาร Premium Flatbed ของเที่ยวบิน XJ600 มารวมกลุ่มกันเรียบร้อยโดยเราสามารถหยิบไปได้เลย และนี่คือสิทธิพิเศษลำดับที่ 7


สำหรับเที่ยวบิน XJ601 กลับจากสนามบินนาริตะมุ่งหน้าสู่สนามบินนานาชาติดอนเมือง  เวลาขึ้นเครื่อง 08.35 น. เครื่องบินออกเวลา 09.15 น. ขอบอกว่าเช้ามาก

การเตรียมการครั้งนี้คือ เลือกที่พักหรือซุกหัวนอนใกล้สนามบินที่สุด นั่นคือ โรงแรม Narita Rest House เป็นโรงแรมที่มีบริการรถรับส่งสนามบิน กับ Terminal 2 ตั้งแต่ 06.20 น. เราจึงสามารถมาถึงสนามบินไม่เกิน 06.30 น.แบบสบายๆ  ที่โรงแรม Narita Rest House จะมีตู้อัตโนมัติให้บริการอาหารร้อน เครื่องดื่มร้อนและเย็น ไอศกรีม เพียบอยู่บริเวณชั้น 1 และตู้อัตโนมัติให้บริการเบียร์ อยู่บริเวณชั้น 6

ใครอยากลองไอศกรีมในระดับอุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียสก็ลองได้นะครับ 

ตู้อัตโนมัติมาพร้อมกับความหลากหลายของอาหาร และเครื่องดื่มร้อนเย็น
ทางโรงแรมมีไมโครเวฟให้สำหรับอุ่นอาหาร


ตารางเวลาให้บริการรถ Shuttle Bus ของโรงแรม Narita Rest House ติดอยู่บริเวณล๊อบบี้ของโรงแรม

แผ่นพับ โบรชัวร์สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำเมืองนาริตะเป็นเวอร์ชั่นภาษาไทย
วางอยู่ล๊อบบี้ของโรงแรม
เมื่อเดินทางมาถึงสนามบินนาริตะ ก็มุ่งหน้าไปที่เคาน์เตอร์ N ของแอร์เอเชีย เอ๊กซ์ หาพรมแดงในทันที

พนักงานพร้อมและให้บริการอย่างดีเยี่ยมบอกว่าใช้เวลาเดินทางไป Gate ประมาณ 10 นาที 

Boarding Pass มาเรียบร้อย ระบุ  Gate 85 นั่งที่เดิม 2B ริมหน้าต่าง 
แต่ที่สนามบินนาริตะจะเปิดให้บริการตรวจหนังสือเดินทางเวลา 07.30 น. ดังนั้นท่านใดกลับไฟลท์เช้าอาจจะมีเวลาช้อปปิ้งใน Duty Free น้อยนิด อย่างขากลับนี้เริ่มเข้าแถว 07.15 เปิด 07.30 กว่าจะตรวจและดำเนินการเสร็จก็ 08.00 น. ถ้าท่านใดไปถึงเร็ว เช็คอินเร็ว ระหว่างรอตรวจหนังสือเดินทางก็สามารถไปโซน Shopping & Dining ซึ่งร้านต่างๆจะเปิดแบบจริงจังเวลา 07.00 น. แต่ที่เปิดก่อนแน่ๆ คือ 7-11 แวะรับประทานอาหารเช้าที่ 7-11 ก่อนได้ เมนูอาหารเหล่านี้ รสชาติอาหารอร่อยๆแบบนี้ ไม่ได้เจอที่ 7-11 เมืองไทยแน่นอน


ผู้โดยสารเริ่มเข้าแถวรอเวลา 07.30 น.
Gate 85 ที่จะขึ้นเครื่องก็อยู่ไกลมาก พนักงานของแอร์เอเชียบอกว่าใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาที ดังนั้นต้องทดเวลาบาดเจ็บไว้ด้วย เวลาช้อปปิ้งก่อนกลับเพื่อละลายเงินเยนแทบไม่เหลือ แต่โชคดีเราทดเวลาไว้แล้วจึงเดินเร็วแทนการวิ่ง ระหว่างทางจะพบเห็นผู้โดยสารหลายคนวิ่งทั้งแบบเดี่ยว แบบกลุ่ม

หลังจากขึ้นเครื่องแล้ว ก็ให้ทางแอร์โฮสเตสเสิร์ฟอาหารกันเลย อาหารขากลับเป็นลาซานญ่าไก่อุ่นร้อนมากถึงมากที่สุด มาพร้อมกับน้ำดิ่ม และสั่งโค้กเพิ่ม(อันนี้จ่ายเงินเพิ่ม)

อาหารร้อน ขอบอกว่าร้อนจริง มื้อนี้ลาซานญ่าไก่

มาพร้อมน้ำดื่ม ส่วนโค้กกับน้ำแข็งสั่งเพิ่มเอง จ่ายเพิ่มไม่รวมอยู่ในแพคของ Flatbed 

ยลโฉมแบบใกล้ชิด ชีสเพียบ

เมื่อเครื่องบิน Take off สักพักก็ได้เจอกับวิวภูเขาไฟฟูจิแบบไกลๆ

อีกไม่กี่นาทีต่อมา(ก็หลายนาทีอยู่) เสียงกัปตันก็ประกาศให้ผู้โดยสารที่อยู่ฝั่งขวาของเครื่องบินมองออกไปนอกหน้าต่างก็จะได้พบกับวิวนี้




เรียกได้ว่า ฟินระยะประชิดกับภูเขาไฟฟูจิ ก่อนกลับประเทศไทย



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น