เมิ่อพฤษภาคม 2560 วางแผนว่าจะไปเที่ยวญี่ปุ่นเปิดเจอโปรโมชั่นของแอร์เอเชีย ซึ่งมักจะมีตลอดเจอเงื่อนไขส่วนลด จึงกำหนดวันว่าจะไปประมาณกุมภาพันธ์ 2561 นานมาก เพราะระยะเวลาโปรฯ ให้บินเริ่มต้นเดือนนั้นเป็นต้นไปก็เลยจัดทันที ระหว่างลากเม้าส์ไปมา คลิกเลือกวันไปวันกลับ สายตาเหลือบไปเห็นคำว่า Premium Flatbed จึงเริ่มหาข้อมูลว่า มันคืออะไร สรุปด้วยภาษาง่ายๆ ก็คือ ชั้นธุรกิจสไตล์ Airasia X เหตุที่ไม่เรียกว่าชั้นธุรกิจคงกลัวความคาดหวังของลูกค้าจะสูงลิ่วเทียบชั้นกับบรรดาสายการบิน Full Service หลังจากหาข้อมูลไม่กี่นาทีจึงเกิด "อาการใจง่าย" ตกลงปลงใจ จองไป 3 ที่ ไป-กลับ ขาไป ดอนเมือง-ญี่ปุ่น(นาริตะ) ไฟลท์ XJ600 กางปีกออกเดินทางเวลา 23.45 น. ของวันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ และ ขากลับ ญี่ปุ่น(นาริตะ)-ดอนเมือง ไฟลท์ XJ601 ออกเดินทาง 09.15 น.ถึงดอนเมือง 14.30 น. ราคาที่นั่ง Flatbed ไป-กลับ คนละประมาณ 21,619.00 บาท ลืมบอกไปครับ ในการจองผ่านเว็บไซต์เราสามารถเลือกที่นั่งได้เลยครับ ใครประสงค์จะนั่งริมหน้าทางก็เลือกได้ ริมทางเดินก็เลือกได้ บอกไว้ก่อนว่า ถ้าใครเลือกริมหน้าต่างและนั่งคนเดียวแถมเข้าห้องน้ำบ่อย ก็อาจจะต้องฝ่าด่านคนที่ไม่รู้จักออกมาจะด้วยการบอกตรงๆ หรือกระโดดข้ามอันนี้ตามอัธยาศัย แต่ถ้าไปเป็นคู่เพื่อนกัน ก็คงจะไม่ต้องเกรงใจกันเท่าไหร่ แต่ถ้าใครไม่ซีเรียสการชมวิวขณะเครื่องบินกำลัง Taxi (วิ่งอยู่บนรันเวย์) Take off (เครื่องขึ้น) และ Landing (เครื่องลง) ก็อาจจะนั่ง 2 ที่นั่งที่อยู่ตรงกลางก็ได้จะเดินเข้าออกกี่รอบก็ได้ไม่ต้องเกรงใจใคร
...และแล้วก็ถึงวันเดินทาง เริ่มต้นด้วยการเช็คอินบนพรมแดงสำหรับ Premium Flatbed เข้าเช็คอินโดยไม่ต้องต่อแถวใช้เวลาไม่เกิน 3 นาที แต่ใช้เวลาถ่ายรูป 10 นาที
สิทธิพิเศษแรกที่สัมผัสได้คือ เช็คอินก่อนใครเพื่อน ไม่ต้องไปต่อแถวกับที่นั่งปกติ Hot Seat และ Quiet Zone
|
ถ่ายรูปเป็นที่ระทึกก่อนเดินทางกัน |
|
ชั้นธุรกิจสไตล์โลว์คอสต์ มีจำนวน 12 ที่นั่ง |
|
หลังจากเช็คอินพนักงานจะติด Tag กระเป๋าสีเหลืองและแดง |
|
โดย Tag กระเป๋านี้เป็นการบอกว่าให้รีบนำกระเป๋าเหล่านี้ออกมาก่อนเมื่อถึงจุดหมายปลายทาง |
เดี๋ยวค่อยมาดูกันว่า เมื่อถึงจุดหมายปลายทางคือ สนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น กระเป๋าเหล่านี้จะมาไวหรือไม่
จากนั้นก็เข้าสู่การตรวจหนังสือเดินทางซึ่งใช้ระบบสแกนหนังสือเดินทาง สแกนนิ้วมือและมองกล้องเพื่อบันทึกภาพของเรา ใช้เวลาไม่นาน คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะแยกโซนต่างชาติกับคนไทย บางกรณีหนังสือเดินทางของบางคนอาจจะสแกนไม่ผ่าน ก็จะต้องเดินไปใช้บริการแบบ Manual คือ ตรวจและประทับตราออกนอกประเทศ จากนั้นก็ตรวจกระเป๋าสัมภาระที่ถือขึ้นเครื่อง
เมื่อผ่านเข้าไปด้านใน ระหว่างรอเวลา Boarding บรรดาทีมเดินทางก็ไปนั่งรอที่ The Coral Lounge อันนี้เสียตังเพิ่มเอง ไม่เกี่ยวกับ Premium Flatbed นะครับ โดยเลาจน์นี้จะอยู่ตรงกันข้ามกับจุดตรวจเอกซเรย์กระเป๋าเลย ภายในเลาจน์มีอาหารว่าง แซนวิช เครื่องดื่มร้อน เย็น เบียร์ บริการตลอดเวลา พร้อม Free WIFI ที่นั่งหลากหลายรูปแบบ คิดค่าบริการ 700 บาทต่อคนถ้าเป็นสมาชิกของคอรัลเลาจน์ สายการบินต่างๆ ก็มีโปรโมชั่นลด 30 % ต้องลองติดตามดูจาก Facebook แต่ถ้าใครประสงค์จะช้อปก่อนออกเดินทางก็ไม่ต้องไปแยแสเลาจน์นะครับ แนะนำให้ลองหาของฟรีจากค่ายมือถือต่างๆ ไม่ว่าจะเรดการ์ด แบล็คการ์ดของทรู Serenade แต่ละระดับของ AIS
|
บริเวณด้านหน้าของเลาจน์ |
|
คานาเป้ แซนวิช สารพัดชนิด |
|
มุมสลัดเพื่อสุขภาพก็มา |
|
ที่นั่งสำหรับให้บริการลูกค้าเพียบ |
|
อีกฝั่งหนึ่งของเลาจน์ ทุกโต๊ะมีปลั๊กสำหรับชาร์จแบตเตอรี่ได้ |
|
มุมสำหรับคนชอบดื่มชา เครื่องดื่มร้อนก็มีให้บริการ |
เวลา 23.05 น. ได้เวลาขึ้นเครื่องกันแล้ว สิทธิพิเศษลำดับสอง กลุ่ม Premium Flatbed จะถูกเรียกขึ้นเครื่องก่อนใคร ดังนั้นจะรออะไร ขึ้นเครื่องกันเลยไปสำรวจด้านในกัน
สิทธิพิเศษที่ 3 Premium Flatbed จะมีจำนวน 12 ที่นั่ง จัดเรียงเป็น 2-2-2 มีทั้งหมด 2 แถว และจะมีห้องน้ำอยู่ด้านหน้า ใช้เฉพาะ 12 ที่นั่งนี้เท่านั้น และมีม่านปิดระหว่าง Flatbed กับโซนถัดไป ซึ่งก็คือ Quiet Zone ที่จะมีราคาแพงกว่าที่นั่งปกติทั่วไป และบริเวณ Quiet Zone ก็จะมีที่นั่งแถวหน้าเป็น Hot Seat ถัดจาก Quiet Zone ไปทางด้านหลังก็จะเป็นที่นั่งปกติ
|
ที่นั่งใหญ่มาก มีหมอนวางไว้พร้อมกับน้ำดื่ม สักพักแอร์โฮสเตสก็จะนำผ้าห่มมาให้
ถ้าที่นั่งปกติต้องการผ้าห่มต้องจ่ายเงินเพิ่ม 150 บาท |
|
อีกมุมหนึ่งของโซน Premium Flatbed |
|
จากที่นั่งพื้นที่ที่สามารถนอนปรับเอนที่นั่งและเหยียดขาได้อย่างเต็มที่ |
|
ที่เก็บสัมภาระเหนือศีรษะมีพื้นที่ว่างเหลือเฟือไม่แออัดแน่ๆ |
|
อาหารมาเสิร์ฟแบบชุดกะทัดรัด โดยผู้โดยสารสามารถบอกกับแอร์โอสเตสได้ว่าจะให้เสิร์ฟ
หลังจากเครื่องบินขึ้น (Take off) หรือก่อนเครื่องลง (Landing) |
|
โฉมหน้าด้านในอาหารร้อนมากถึงมากทึ่สุด มื้อนี้เป็นข้าวไก่เทอริยากิ |
สิทธิพิเศษที่ 4 ได้รับอาหารร้อน 1 ที่ พร้อมน้ำดื่ม อันนี้อาจจะไม่ใช่สิทธิพิเศษเท่าไหร่ เพราะน่าจะ Cover อยู่ในค่าโดยสารอยู่แล้ว
สิทธิพิเศษที่ 5 ได้นอนราบแบบ 180 องศาแบบไม่ต้องเบียด หรือหลังขดหลังแข็งกับที่นั่ง ถ้าบินสายการบินแบบ Full Service ไปกลับ 20,000 กว่าบาท กับการได้ราคาโปรโมชั่นของ Premium Flatbed อันหลังน่าจะสบายกว่า
สิทธิพิเศษที่ 6 ได้รับหมอนและผ้าห่ม (ก็น่าจะรวมอยู่ในค่าโดยสารแล้วเช่นกัน) ถ้าชั้นปกติต้องการผ้าห่มก็จ่ายเพิ่ม 150 บาท
การเดินทางจากสนามบินนานาชาติดอนเมืองสู่สนามบินนานาชาตินาริตะ ประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้ อออกเดินทางเวลา 23.45 น. ตรงเวลาเป๊ะมากๆ กำหนดถึงญี่ปุ่นประมาณ 08.00 น. ปรากฏว่าถึงญี่ปุ่นเวลา 07.00 น.นับว่าได้กำไรอีก 1 ชั่วโมง เอ๊ะหรือจะขาดทุนอยู่บนเครื่องบินน้อยลง
เมื่อลงจากเครื่องบินก็ได้สัมผัสกับความเย็นระดับ 2 องศาเซลเซียส อาการควันออกปากจึงเกิดขึ้น จากนั้นก็มาผ่านกระบวนการตรวจคนเข้าเมือง ผ่านศุลกากร ซึ่งลงมาต้องตะลึงเนื่องจากแถวและผู้คนเยอะมาก แต่ระบบการบริหารจัดการที่ดีพ่วงด้วยเทคโนโลยีต่างๆของญี่ปุ่นทำให้กระบวนการตรงนี้ผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อเดินลงมาบริเวณสายพานรับกระเป๋าก็ได้เห็นภาพกองกระเป๋าของกลุ่มผู้โดยสาร Premium Flatbed ของเที่ยวบิน XJ600 มารวมกลุ่มกันเรียบร้อยโดยเราสามารถหยิบไปได้เลย และนี่คือสิทธิพิเศษลำดับที่ 7
สำหรับเที่ยวบิน XJ601 กลับจากสนามบินนาริตะมุ่งหน้าสู่สนามบินนานาชาติดอนเมือง เวลาขึ้นเครื่อง 08.35 น. เครื่องบินออกเวลา 09.15 น. ขอบอกว่าเช้ามาก
การเตรียมการครั้งนี้คือ เลือกที่พักหรือซุกหัวนอนใกล้สนามบินที่สุด นั่นคือ โรงแรม Narita Rest House เป็นโรงแรมที่มีบริการรถรับส่งสนามบิน กับ Terminal 2 ตั้งแต่ 06.20 น. เราจึงสามารถมาถึงสนามบินไม่เกิน 06.30 น.แบบสบายๆ ที่โรงแรม Narita Rest House จะมีตู้อัตโนมัติให้บริการอาหารร้อน เครื่องดื่มร้อนและเย็น ไอศกรีม เพียบอยู่บริเวณชั้น 1 และตู้อัตโนมัติให้บริการเบียร์ อยู่บริเวณชั้น 6
|
ใครอยากลองไอศกรีมในระดับอุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียสก็ลองได้นะครับ |
|
ตู้อัตโนมัติมาพร้อมกับความหลากหลายของอาหาร และเครื่องดื่มร้อนเย็น
ทางโรงแรมมีไมโครเวฟให้สำหรับอุ่นอาหาร |
|
ตารางเวลาให้บริการรถ Shuttle Bus ของโรงแรม Narita Rest House ติดอยู่บริเวณล๊อบบี้ของโรงแรม |
|
แผ่นพับ โบรชัวร์สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำเมืองนาริตะเป็นเวอร์ชั่นภาษาไทย
วางอยู่ล๊อบบี้ของโรงแรม |
เมื่อเดินทางมาถึงสนามบินนาริตะ ก็มุ่งหน้าไปที่เคาน์เตอร์ N ของแอร์เอเชีย เอ๊กซ์ หาพรมแดงในทันที
|
พนักงานพร้อมและให้บริการอย่างดีเยี่ยมบอกว่าใช้เวลาเดินทางไป Gate ประมาณ 10 นาที |
|
Boarding Pass มาเรียบร้อย ระบุ Gate 85 นั่งที่เดิม 2B ริมหน้าต่าง |
แต่ที่สนามบินนาริตะจะเปิดให้บริการตรวจหนังสือเดินทางเวลา 07.30 น. ดังนั้นท่านใดกลับไฟลท์เช้าอาจจะมีเวลาช้อปปิ้งใน Duty Free น้อยนิด อย่างขากลับนี้เริ่มเข้าแถว 07.15 เปิด 07.30 กว่าจะตรวจและดำเนินการเสร็จก็ 08.00 น. ถ้าท่านใดไปถึงเร็ว เช็คอินเร็ว ระหว่างรอตรวจหนังสือเดินทางก็สามารถไปโซน Shopping & Dining ซึ่งร้านต่างๆจะเปิดแบบจริงจังเวลา 07.00 น. แต่ที่เปิดก่อนแน่ๆ คือ 7-11 แวะรับประทานอาหารเช้าที่ 7-11 ก่อนได้ เมนูอาหารเหล่านี้ รสชาติอาหารอร่อยๆแบบนี้ ไม่ได้เจอที่ 7-11 เมืองไทยแน่นอน
|
ผู้โดยสารเริ่มเข้าแถวรอเวลา 07.30 น. |
Gate 85 ที่จะขึ้นเครื่องก็อยู่ไกลมาก พนักงานของแอร์เอเชียบอกว่าใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาที ดังนั้นต้องทดเวลาบาดเจ็บไว้ด้วย เวลาช้อปปิ้งก่อนกลับเพื่อละลายเงินเยนแทบไม่เหลือ แต่โชคดีเราทดเวลาไว้แล้วจึงเดินเร็วแทนการวิ่ง ระหว่างทางจะพบเห็นผู้โดยสารหลายคนวิ่งทั้งแบบเดี่ยว แบบกลุ่ม
หลังจากขึ้นเครื่องแล้ว ก็ให้ทางแอร์โฮสเตสเสิร์ฟอาหารกันเลย อาหารขากลับเป็นลาซานญ่าไก่อุ่นร้อนมากถึงมากที่สุด มาพร้อมกับน้ำดิ่ม และสั่งโค้กเพิ่ม(อันนี้จ่ายเงินเพิ่ม)
|
อาหารร้อน ขอบอกว่าร้อนจริง มื้อนี้ลาซานญ่าไก่ |
|
มาพร้อมน้ำดื่ม ส่วนโค้กกับน้ำแข็งสั่งเพิ่มเอง จ่ายเพิ่มไม่รวมอยู่ในแพคของ Flatbed |
|
ยลโฉมแบบใกล้ชิด ชีสเพียบ |
เมื่อเครื่องบิน Take off สักพักก็ได้เจอกับวิวภูเขาไฟฟูจิแบบไกลๆ
อีกไม่กี่นาทีต่อมา(ก็หลายนาทีอยู่) เสียงกัปตันก็ประกาศให้ผู้โดยสารที่อยู่ฝั่งขวาของเครื่องบินมองออกไปนอกหน้าต่างก็จะได้พบกับวิวนี้
เรียกได้ว่า ฟินระยะประชิดกับภูเขาไฟฟูจิ ก่อนกลับประเทศไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น