วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2561

รีวิวอย่างไรไม่ให้เดือดร้อน

คำว่า“รีวิว”น่าจะเป็นคำฮอตฮิตในช่วงนี้รวมถึงในยุคที่สื่อสังคมออนไลน์เข้ามามีบทบาทในการสื่อสารการตลาด จนทำให้เป็นสงครามของการรีวิวเต็มไปหมด 
  • ยุคที่ดารา นักแสดง คนดังมีพื้นที่ของตัวเองในแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook Instagram Twitter และมียอดผู้ติดตามที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับดารา นักแสดง คนดัง เพื่อรับงานโฆษณา โปรโมทสินค้าต่างๆ
  • ยุคที่ผู้รับสาร ผู้บริโภคสามารถเปลี่ยนบทบาทหรือสถานะมาเป็นผู้ที่แสดงความคิดเห็นได้มากขึ้น รีวิวผลิตภัณฑ์หรือบริการต่างๆที่ตนเองไปกิน ดื่ม ช้อป และใช้บริการ ผู้บริโภคบางคนก็สร้างความโดดเด่นเฉพาะให้กับตนเองด้วยการสร้าง Blog ขึ้นมาจนมีชื่อเสียงในด้านใดด้านหนึ่ง เช่น รีวิวโรงแรม ที่พัก รีวิวเรื่องผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับความงาม เป็นต้น
  • ยุคที่แบรนด์ต้องพึ่งพาผู้มีอิทธิพลมากมายเพื่อให้แบรนด์นั้นสามารถ "ซอกซอน" เข้าไปหาลูกค้าเป้าหมายได้แบบกระชับพื้นที่และมีรายได้จากยอดขายตามมา เราก็จะได้ยินศัพท์แสงเก่าใหม่ผสมกันไป เช่น Online Influencer, KOL (Key Opinion Leader) , Micro Influencers
ถ้าแปลด้วย Google Translate หรือจะแปลแบบกำปั้นทุบดิน คำว่า “รีวิว หรือ Review” คือ ทบทวน ถ้าแปลแบบนี้อาจจะงงๆ มันก็คือการที่เรามีประสบการณ์บางอย่างกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (ผลิตภัณฑ์ บริการ ภาพยนตร์ อีเว้นท์ หรือสิ่งอื่นใดก็แล้วแต่) แล้วอยากจะนำสิ่งนั้นมาแบ่งปัน ก็เลยนั่งคิด “ทบทวน” เรื่องราวของสิ่งที่จะรีวิวนั้น (เหมือนเพลงผู้ชายในฝันที่บอกว่า ตีห้าไม่ถึงก็จวน คิดทบทวนเรื่องฝันชั้นดี ขนาดฝันยังต้อง รีวิว เลย) เช่น ถ้ามีประสบการณ์ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อการบรรเทาน้ำหนักลงแล้วประทับใจก็รีวิวถึงคุณงามความดีของผลิตภัณฑ์นั้นและอาจจะมีการบอกถึงผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น หรือ ถ้าไปดูหนัง Avengers Infinity War มาแล้วประทับใจสุดๆ อยากจะแสดงความคิดเห็น แชร์ให้คนอื่นได้อ่าน แนะนำให้คนอื่นไปชมก็อาจจะนั่งทบทวนแล้วเขียนถึงภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ทั้งนี้การรีวิวอาจจะต้องมีทั้งมุมบวกและลบ ข้อดีและข้อเสีย จุดเด่นและจุดที่ควรระวัง
รู้จักรีวิว 3 แบบ การรีวิวที่เรามักจะพบเห็นกันในชีวิตประจำวันก็จะมีอยู่ 3 แบบคือ แบบที่ 1 การรีวิวแบบให้ผลิตภัณฑ์กับผู้รีวิวไปใช้หรือหากเป็นธุรกิจบริการก็คือการเชื้อเชิญให้ผู้รีวิวไปใช้บริการโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ แต่มีเงื่อนไขว่า ต้องกลับมารีวิวให้ หรือเรียกว่าเป็นการแลกเปลี่ยนหรือ Barter กันระหว่างผู้รีวิวกับเจ้าของผลิตภัณฑ์หรือบริการ โดยบุคคลที่รีวิวนั้นอาจจะเป็นดารา นักแสดง คนดัง บล็อกเกอร์ หรือ Online Influencer ใดๆในโลกนี้ สรุปก็คือ “ได้ของฟรีมา รีวิวแลกเปลี่ยนกลับไป”
แบบที่ 2 การรีวิวแบบการว่าจ้างด้วยการให้ผลิตภัณฑ์ฟรีหรือใช้บริการฟรีและเมื่อรีวิวแล้วให้ค่าตอบแทนในการรีวิวด้วย อันนี้เรียกว่า ป๋าสุดๆ ดังนั้นโอกาสที่เนื้อหาในการรีวิวจะเป็นไปในทิศทางบวกจะค่อนข้างมาก สรุปก็คือ “ได้ของฟรี รีวิวแล้วได้เงินด้วย”
แบบที่ 3 การรีวิวแบบไม่มีการว่าจ้างใดๆ ผมชอบเรียกมันว่า รีวิวด้วยเสน่หา ปลื้มปริ่ม และอยากบอกสิ่งดีๆให้กับผู้คน เพื่อนได้รับทราบถึงประสบการณ์ที่ได้พบเจอมา รีวิวรูปแบบนี้คนรีวิวมักจะเป็นผู้ซื้อผลิตภัณฑ์หรือดั้นด้นไปใช้บริการและเสียค่าบริการเอง ไม่มีการสนับสนุนให้ใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการแบบฟรีๆ และไม่มีการรับค่าตอบแทนในการเขียนรีวิว ซึ่งแน่นอนว่าเราจะพบความจริงจากการรีวิวแบบนี้ เช่น ข้อมูลที่รีวิวอาจจะมีทั้งบวกและลบ ถ้าประทับใจในสิ่งนั้นมากก็อาจจะบวกมากหน่อยลบน้อยหน่อย หากคนที่ต้องการสร้างความน่าเชื่อถือจากการรีวิว ควรจะให้ข้อมูลหรือความเห็นที่รอบด้านและเป็นจริง เพื่อต่อยอดความน่าเชื่อถือเพื่อให้ผู้คนมาติดตามเราอีก สรุปแบบนี้ก็คือ “รีวิวด้วยเสน่หาและอารมณ์ปลื้มปริ่ม” อย่างใน pantip เราจะเห็นตัวย่อที่กำกับอยู่กับกระทู้ที่เป็นการรีวิว เช่น CR ย่อมาจาก Consumer Review ก็คือ ผู้รีวิวไปซื้อหรือใช้บริการด้วยเงินตัวเองแล้วรีวิวเองไม่มีการจ้างวาน และ SR ย่อมาจาก Sponsored Review คือมีคนให้ผลิตภัณฑ์หรือมอบข้อเสนอให้ไปใช้บริการฟรี แลกเปลี่ยนกับการเขียนรีวิวให้ โดยสรุปแล้ว การจะรีวิวอะไร ผู้รีวิวจะต้องมีประสบการณ์กับสิ่งนั้นๆก่อน ไม่ว่าจะเป็น ต้องเคยใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้นมาแล้ว ใช้เครื่องสำอางนั้นมาแล้ว ได้ใช้โทรศัพท์มือถือนั้นอย่างจริงจังแล้ว ไปชมภาพยนตร์เรื่องนั้นมาแล้วและนำมารีวิว(แต่อย่าสปอยล์นะ) ได้ไปใช้บริการก็คือนอนที่โรงแรมหรือที่พักนั้นๆแล้ว เคยไปใช้บริการร้านอาหารนั้นแล้วสัมผัสทั้งรสชาติอาหาร สัมผัสทั้งบริการ
รีวิวไม่ดี เดี๋ยวชื่อเสียงจะปลิวนะ เราลองมาดูวิธีรีวิวอย่างไรให้ปลอดภัย
1.ก่อนรีวิวต้อง กิน ดื่ม ใช้ สัมผัสกับผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นมาแล้ว ทำตัวเป็นผู้บริโภค เมื่อมีประสบการณ์กับสิ่งนั้นแล้วเราอยากจะบอกอะไรให้เพื่อน คนที่ฟอลโลว์เราได้ทราบ ถ้าเราเป็นคนดัง ดารา นักแสดง ก็จะเป็นนักแสดง คนดังที่อยู่ในฐานะผู้บริโภคคนหนึ่งและสิ่งที่รีวิวออกมาจะมี “ความจริงใจ” ถ่ายทอดออกมาด้วย
2.ความอ่อนไหวในการรีวิวของผลิตภัณฑ์หรือบริการแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน ทำให้ผู้รีวิวจะต้องตระหนักว่าการรีวิวผลิตภัณฑ์หรือบริการแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน ในบางผลิตภัณฑ์อาจมีความอ่อนไหวเพราะต้องบริโภคเข้าสู่ร่างกาย เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องกินเข้าไปอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง หรือครีมบางชนิดเมื่อผู้บริโภคบางคนใช้ไปแล้วอาจทำให้หน้าพังและเราคงไม่สามารถเอาหน้าเดิมของเค้ากลับมาได้ ด้วยเหตุนี้ ผู้รีวิวอาจจะต้องมีความรับผิดชอบก่อนที่จะอวดอ้างสรรพคุณใดๆทั้งในด้านการตรวจสอบบริษัทที่ผลิตสินค้า การตรวจสอบเลข อย. การดูข้อมูลต่างๆ จนถึงระดับสูงสุดคือ ผู้รีวิวอาจจะต้องเป็น “หนูทดลอง” สินค้า หรือบริการนั้นซะเอง เพราะจริงๆแล้ว การรีวิว ก็คือ ผู้รีวิวต้องมีประสบการณ์กับสิ่งนั้น ทั้งนี้การรีวิวผลิตภัณฑ์ที่ต้องกินก็จะแตกต่างจากการรีวิวที่พัก โรงแรม ที่อาจจะเกิดผลกระทบในเชิงเสียหายได้น้อยกว่า
3.ศึกษากฎหมาย พระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ชนิดนั้นๆ เพราะแต่ละผลิตภัณฑ์จะมีข้อห้าม การใช้คำอวดอ้างสรรพคุณบางลักษณะ เช่น ในอดีตมีดารา นักแสดงบางท่านได้นำเสนอภาพของเบียร์ยี่ห้อหนึ่งพร้อมกับการมีแฮชแท๊กที่บอกถึงรสชาติของเบียร์หรือจุดจำหน่าย กรณีนี้ก็เข้าข่ายการโฆษณา แต่กฎระเบียบของการโฆษณา ห้ามโฆษณาแบบนี้ ในเวลานั้นจึงมีคำเตือนสำหรับดารา นักแสดง คนดังว่า ห้ามนำภาพเบียร์ขึ้นใน IG
4.ให้นึกถึง “ชื่อเสียง” ที่สั่งสมมาของตัวเอง ผมเชื่อเหลือเกินว่า ชื่อเสียงของดารา นักแสดง คนดังหลายๆท่านไม่ได้สร้างขึ้นในวันเดียว มันเกิดจากการสั่งสมชื่อเสียง รักษาชื่อเสียง ดังนั้นการจะรีวิวอะไรก็แล้วแต่ อย่าให้ค่าตอบแทนของเจ้าของผลิตภัณฑ์ที่เรารู้สึกคลางแคลงสงสัยในคุณสมบัติมาบั่นทอนชื่อเสียงที่เราสร้างมายาวนาน มันไม่คุ้ม ถ้าตัวเรายังไม่กล้าทดลองใช้ผลิตภัณฑ์นั้น ก็อย่าไปเสียดายเงินค่าตอบแทนนั้นเลย เสียดายชื่อเสียงของเราดีกว่า
เจ้าของธุรกิจต้องคิดถึงความยั่งยืน
การรีวิวที่มีการจ้าง มีค่าตอบแทนให้กับผู้รีวิวจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีเจ้าของแบรนด์ที่ทำหน้าที่ให้การสนับสนุนค่าตอบแทนในการรีวิว ถ้าเจ้าของธุรกิจต้องการขายของครั้งเดียวแล้วเลิก คุณภาพเป็นสิ่งที่เราไม่สนใจ ความปลอดภัยต่อร่างกายเราไม่สน นั่นอาจจะเข้าข่ายรวยแล้วเลิก หรืออาจจะรวยแล้วคุก คุก คุก แต่ถ้าเราไม่ใช่เจ้าของธุรกิจแบบที่ว่า จะต้องจริงจังกับการสร้างชื่อเสียงด้วยการผลิตสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพ แสดงความรับผิดชอบเมื่อเกิดปัญหาขึ้นกับผู้บริโภค และบริหารแบรนด์ด้วยความจริงใจ ในยุคนี้ที่เรียกว่า 4.0 หรือจะ 5.0 6.0 แบรนด์ต้องอาศัยพลังของผู้บริโภค วันนี้ผู้บริโภคเค้าคุยกันเอง แบรนด์ต้องประพฤติตัวให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราจริงใจ เรารับผิดชอบ เรามีคุณภาพ ดีกว่าให้ลูกค้ารู้สึกว่า แบรนด์เราตอแหล ไม่แยแสที่จะรับผิดชอบ กอบโกยกำไร
ผู้บริโภคยุคนี้ต้อง Strong ทุกวันนี้ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเทคโนโลยีอยู่ในมือของพวกเราทุกคน เราสามารถค้นหา อ่าน เปรียบเทียบข้อมูลได้ตลอดเวลา ดังนั้น ผู้บริโภคจึงต้องเสริมสร้างความสตรองให้กับตัวเองใน 4 เรื่อง
1.Strong ด้วยการหาข้อมูลผ่านสิ่งที่อยู่ในมือท่าน คือ โทรศัพท์มือถือหรือ อุปกรณ์การสื่อสารเคลื่อนที่ต่างๆ ไม่ใช่แค่เลข อย. แต่ลึกไปถึงการรีวิวในหลายๆมิติ อย่าเชื่อแหล่งข้อมูลเดียว การเข้าไปเยี่ยมชมเฟสบุ๊คของแบรนด์ ลองดูว่า ยอดผู้คนติดตามเท่าไหร่ แล้วในแต่ละโพสต์มีคนสนใจกดไลค์ หรือเม้นท์มากน้อยเพียงใด บางทีเราอาจจะเจอแบรนด์ที่ยอดไลค์เพจเพียบ ถล่มทลายมีคนติดตาม หลัก 100,000 คน แต่คนกดไลค์โพสต์อยู่ที่หลัก 10 มันเป็นไปได้ไหม
2.Strong ด้วยมุมมองที่ว่า “รับผิดชอบต่อชีวิตของตัวท่านเอง” อะไรก็ตามที่มีการบริโภคผ่านปากเข้าไป การฉีดเข้าไป มันย่อมเป็นเรื่อง Sensitive การบริโภคผลิตภัณฑ์อาหาร ยา อาจอันตรายกว่าการไปใช้บริการโรงแรม ดูภาพยนตร์ เพราะมัน Effect ต่อร่างกาย สุขภาพ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”
3.Strong ต่อการไม่หลงใหลไปกับสิ่งยั่วยวนที่เรียกว่า Promotion ลด แลก แจก แถม ควรมีความสมเหตุสมผล ผู้บริโภคหลายคนมักจะมีความอ่อนไหวต่อราคาผลิตภัณฑ์ที่ราคาถูก (Price Sensitivity) ลองพิจารณาดูว่า มันถูกกว่าผลิตภัณฑ์อื่นในตลาดเดียวกันหรือถูกกว่าแบรนด์อื่นจนผิดสังเกตหรือไม่ ถ้าท่านตั้งคำถามหรือนึกในใจว่า “ขายได้ยังไงราคานี้” แสดงว่ามันน่าสงสัยแล้ว
4.Strong ต่อการไม่หลงเชื่ออะไรง่ายๆ และไม่ต้องรีบร้อนตัดสินใจซื้อ ถ้าของมันดี ยังไงมันก็อยู่ที่ร้าน อยู่ที่เว็บ บางเว็บที่มีลูกค้ามักไปโพสต์รีวิว เค้าจะแบ่งเลยว่า เป็น Sponsored Review หรือ Customer Review ลองสังเกตดู รีวิวที่น่าเชื่อถือควรจะเป็นรีวิวที่มาจากประสบการณ์การใช้งานสินค้านั้นจริง ซึ่งรีวิวพวกนี้ย่อมมีทั้งบวกและลบ อาจจะมีเชิงบวก 5 เชิงลบ 2 อย่างน้อยผลิตภัณฑ์นั้นก็ไม่ได้เพอร์เฟ็คท์ไปซะทุกอย่าง
ถ้าวันนี้เราเป็นผู้บริโภค เราจะพบเห็นสงครามของการรีวิวมากมาย รีวิวไหนควรเชื่อ รีวิวไหนควรชิ่ง เราคงต้องนั่ง “ทบทวน” รีวิวนั้นด้วย

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2561


SUSHI HARI  ซูชิที่นี่ ปลาปิดข้าวมิดเลย

เมื่อเดือนที่แล้วมีโอกาสแวะไปกินซูชิที่ร้าน SUSHI HARI (ซูชิฮาริ) ตั้งอยู่ใน อเวนิวแจ้งวัฒนะ ชั้น 2 ฝั่งโรงภาพยนตร์เมเจอร์ซีเนเพล็กซ์  ร้านนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ซูชิเท่านั้น  ยังมีดงบุริ หรือข้าวหน้าต่างๆ  ยำ สลัด ข้าวห่อสาหร่ายให้เลือกสั่งได้ตามอัธยาศัย อาหารอื่นๆก็มีอาหารหลากหลายพอสมควร ขนาดพื้นที่ของร้านก็ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไปกำลังดี



เมื่อเข้ามาภายในร้านก็เลือกโต๊ะนั่ง เนื่องจากลุยมาคนเดียวก็เลยเลือกโต๊ะสำหรับ 2 ที่ พนักงานนำเมนูที่มีภาพประกอบของอาหารแต่ละชนิดมาให้ดู อันดับแรกต้องแอบส่องราคาก่อน ราคาบางเมนูแอบแรง แต่ก็คละด้วยราคาเบาๆขั้นสุดท้ายจนถึงราคากลางๆ

หน้าเมนูที่เต็มไปด้วยซูชิเป็นคำๆ หากต้องการสั่งแยกแต่ละชนิด

อีกด้านหนึ่งของเมนูก็มีทั้งสลัด ยำ และซูชิที่มีหลายชนิดอยู่ในจานเดียวกัน

หลังจากดูภาพอันตื่นตาตื่นใจ ควบคู่ไปกับราคาที่แปะอยู่ที่ภาพอาหารก็ตัดสินใจสั่ง
1. ดงบุริอุนางิ หรือข้าวหน้าปลาไหลด้วยสนนราคา 440 บาท ตามด้วย 
2. Hari Special Set เป็นเซ็ตซูชิแบบนิกิริซูชิ (ด้านล่างเป็นข้าวและด้านบนเป็น Topping ปลาชนิดต่างๆ) ราคา 420 บาท มีซูชิทั้งหมด 8 คำพร้อมไข่หวาน เมนูต่อมา
3. Salmon Lover Set ราคา 320 บาท (ประกอบด้วยแซลมอนดิบและสุกรวมอยู่ในจานเดียว)  และ
4. สไปซี่แซลมอนเทยากิ ด้วยราคาอันละ 95 บาท 
5. เครื่องดื่มก็ตามระเบียบคือชาเขียวเย็นรีฟิลได้ตลอด 40 บาท

หลังจากสั่งอาหารแบบถล่มทลายเรียบร้อย สักครู่พนักงานก็นำอุปกรณ์การกินมาให้ พร้อมน้ำซุปร้อนๆ 1 ถ้วย จากนั้นเมนูแรกก็มาปรากฏอยู่บนโต๊ะ ข้าวหน้าปลาไหล โปรดดูจากภาพ มีแต่ปลาไหลปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณจนแทบหาข้าวไม่เจอ ข้าวอยู่ไหน ลองขุดชิ้นปลาไหลเข้าไปก็จะพบกับข้าวที่มีปริมาณน้อยมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีงาม เป็นเมนูที่ประทับใจไม่ได้เสิร์ฟข้าวล้นทะลัก

ซุปร้อนๆ พร้อมวาซาบิสด

ชาเขียวรีฟิล
ดงบุริอุนางิ หรือข้าวหน้าปลาไหลญี่ปุ่น
สำหรับข้าวหน้าปลาไหล อร่อยชุ่มด้วยซอสและปลาไหลมาเต็มมาเพียบ โปะบนข้าวซึ่งปริมาณข้าวมีไม่มากนัก เมนูที่ลำเลียงตามมาอีกจานนึงก็คือ Salmon Lover Set เป็นปลาแซลมอนทั้งแบบสดและสุก จานนี้ก็เช่นกัน เป็นซูชิที่มีปลาคลุมมาชนิดห่อข้าวแบบมิด ซูชิที่ดีปริมาณข้าวต้องพอเหมาะกับขนาดของชิ้นปลา ซึ่งเราจะพบว่าร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยบางร้านจะเห็นข้าวเด่นเป็นสง่ามาแต่ไกลและเยอะมากส่วนที่เป็นเนื้อปลาก็จะมีขนาดกะทัดรัดประหนึ่งว่าเป็นของล้ำค่าหายาก

จานนี้ชื่อว่า Salmon Lover Set

ถ่ายระยะประชิดก็ยังไม่เห็นก้อนของข้าว

สำหรับเมนูถัดไปคือ ซูชิเซ็ตของร้าน HARI ที่มาพร้อมกับความหลากหลายอย่างละ 1 คำ ชื่ออาหารจานนี้คือ Hari Special Set มี ซูชิทูน่า  ซูชิแซลมอน ซูชิอุนางิ ซูชิปลากระพงขาว ซูชิปลาหมึกยักษ์ ซูชิหอยปีกนก ซูชิปลาซาบะ ซูชิไข่ปลาแซลมอน (ราคาแบบเซ็ต 440 บาท) ถ้าหากไม่สั่งแบบเซ็ตแต่สั่งแยกเป็นคำๆ ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 590 บาท  (ซูชิทูน่า 70 บาท ซูชิแซลมอน 70 บาท ซูชิปลากระพงขาว 40 บาท ซูชิปลาไหลญี่ปุ่น 80 บาท ซูชิปลาหมึกยักษ์ 40 บาท ซูชิหอยปีกนก 60 บาท ซูชิปลาซาบะ 50 บาท และ ซูชิไข่ปลาแซลมอน 180 บาท) ใครที่ไม่ชอบถูกบังคับขู่เข็ญจากร้านตามรายการอาหารที่มี ก็สั่งแยกเป็นคำได้นะครับ 

Hari Special Set 

ภาพซูชิระยะประชิด


เรามาเริ่มต้นการกินจานนี้กันเลยดีกว่า  ได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านมาจากหลายๆที่ หลายๆแหล่งข้อมูลว่า วิธีกินซูชิที่ถูกวิธี ควรกินให้หมดในคำเดียว และให้นำวาซาบิสดมาวางไว้บนเนื้อปลาหรือบน Topping จากนั้นนำด้านที่มีปลาและวาซาบิจิ้มลงในโชยุแล้วก็อร่อยเลย  แต่วิธีที่นิยมส่วนมากของเราก็คือ นำวาซาบิไปใส่และละเลงให้เข้ากันในโชยุ เอาเป็นว่าถ้าอยู่เมืองไทยจะกินยังไงก็เอาที่สบายใจและไม่เดือดร้อนใครแล้วกันนะ แต่เรากินตามหลักการที่ถูกต้อง ผลลัพธ์ที่เกิดคือ ขึ้นครับขึ้น จี๊ดดดดด สะใจ น้ำตาไหลพราก มันเป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์และโล่งเลย

นำวาซาบิมาแปะบนเนื้อปลาแล้วจัดเข้าปาก

ยังคงไม่เห็นก้อนของข้าว


อันนี้เรียกว่า กุงกังซูชิ คือมีสาหร่ายห่อข้าวเอาไว้และมีทอปปิ้ง

ซูชิปลาหมึกยักษ์

ซูชิหอยปีนก
อาหารจานสุดท้าย เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของซูชิ เรียกว่า เทมากิซูชิ เป็นการนำแผ่นสาหร่ายมาห่อข้าวเป็นกรวย และในนั้นก็จะมีปลาดิบ ผัก พร้อมซอสใส่เข้าไป ทำให้สะดวกต่อการกินมากขึ้น สำหรับอาหารจานนี้เป็น สไปซี่แซลมอนเทยากิ มีรสเผ็ดนิดๆ เมื่อกัดลิ้มรสเข้าไปแล้วมีความเข้ากัน รสนุ่มชุ่มลิ้นสุดๆ 

สไปซี่แซลมอนเทยากิ

เมื่อเช็คบิลตรวจสอบค่าความเสียหายพบว่า ในใบเสร็จของ SUSHI HARI  คิดค่าบริการหรือ Service Charge เพียง 3 % และ VAT อีก 7 % ถ้าจะคิดคำนวณล่วงหน้าก็คือ ราคาอาหารที่อยู่ในเมนูบวกอีก 10 % นั่นเอง

โดยรวมแล้วสำหรับร้านนี้ ดีงาม แนะนำครับ ใครสนใจลองค้นหาพิกัดต่างๆ ใน Google ได้ คีย์คำว่า SUSHI HARI หรือ ซูชิฮาริ  น่าจะมีสาขาในเมืองทองธานีด้วย แต่สาขานี้เพิ่งเปิดได้ไม่นานครับ คนไม่เยอะมาก ที่จอดรถก็สะดวกจอดในอเวนิวแจ้งวัฒนะได้เลย จอดฟรี 3 ชั่วโมงครับ

หมายเหตุ : 
-อาหารทั้งหมดในการรีวิวนี้มาจากการไปใช้บริการ 2 ครั้ง ไม่ใช่กินทั้งหมดในครั้งเดียวนะครับ
-การรีวิวนี้เป็นการรีวิวโดยความชอบและฟิน ไม่ได้มีการบังคับขู่เข็ญหรือการว่าจ้างใดๆ  

วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2561


โรงแรมแอทพิงค์นครเชียงใหม่ : ราคาไม่แรง ลายแทงอาหารเช้าอร่อย

ก่อนถึงเทศกาลสงกรานต์ถือโอกาสไปพักผ่อนที่เชียงใหม่ ครั้งนี้ขอเลือกโรงแรม At Pingnakorn Chiangmai (แอทพิงค์นครเชียงใหม่) ตั้งอยู่บนถนนนิมมานเหมินทร์ ซอย 12 มีห้องพัก 6 รูปแบบ จำนวนทั้งหมด 40 กว่าห้อง นอกจากนี้โรงแรม At Pingnakorn ยังมีอีก 2 โลเคชั่น คือ แอทพิงค์นครห้วยแก้ว และแอทพิงค์นครริเวอร์ไซด์


หน้าปากซอยนิมมาน 12 จะมีป้ายบอกว่าในซอยนี้มีอะไรบ้าง บริเวณปากซอยจะมีร้านบราวนี่แสนอร่อย ชื่อว่า Memorize Brownie (แอบนอกเรื่อง บราวนี่ออริจินัลราคาเริ่มต้นที่ 65 บาท บราวนี่ดาร์กชอคโกแลต ราคา 95 บาท สามารถซื้อกลับกรุงเทพฯได้ เอาไปแช่ตู้เย็นที่โรงแรมไว้ก่อน)


ในซอยนี้จะมีโรงแรม Kantary Hill สำหรับโรงแรมแอทพิงค์นครเชียงใหม่ เป้าหมายของเราจะอยู่สุดซอยขวามือ มีที่จอดรถอยู่ใต้อาคารและบริเวณด้านหน้าอีกนิดหน่อย เมื่อเข้ามาโรงแรมนี้จะพบกับของตกแต่ง ตู้โตกมากมายจัดวางอย่างได้สัดส่วนอย่างมีเอกลักษณ์ ไม่มากและไม่น้อยเกินไป เข้ามาแล้วเหมือนมานอนที่บ้าน บรรยากาศคล้ายบ้านของเราเอง 

บริเวณด้านหน้าโรงแรม

ด้านล่างเป็นที่จอดรถสำหรับแขกที่เข้าพักจอดได้ประมาณ 6-8 คัน

บริเวณด้านหน้าโรงแรม ด้านในเป็น Lobby มีพื้นที่ไม่มากนัก

ตู้บริเวณด้านหลังเคาน์เตอร์รีเซปชั่นของโรงแรม

บริเวณ Lobby มีที่นั่งรับรองให้กับลูกค้ารอเช็คอิน

มุมสรงน้ำพระช่วงเทศกาลสงกรานต์

อีกมุมหนึ่งบริเวณชั้น 1 
สำหรับการจองห้องพักครั้งนี้จองผ่าน Agoda พัก 4 วัน 3 คืน รวม 4,900 บาท Room Type ที่จองมาคือ Grand Deluxe ทางโรงแรมอัพเกรดให้เป็น One Bedroom Suite ขนาดห้อง 55 ตารางเมตร อยู่ชั้น 4 ห้อง 401 ใช้เวลาเช็คอินไม่นานก็ขึ้นห้องทันที สำหรับลิฟท์จะอยู่ระหว่างชั้น นั่นหมายความว่าจะต้องเดินบันไดขึ้นไปครึ่งชั้นแล้วขึ้นลิฟท์ และมีเก้าอี้ให้นั่งรอบริเวณหน้าลิฟท์  ลิฟท์อาจจะช้านิดนึงด้วยความเก่าแก่ ภายในลิฟท์มีใบเตยถูกจัดเป็นช่อแขวนไว้ช่วยลดกลิ่นอับภายในลิฟท์แบบธรรมชาติ

เก้าอี้สำหรับนั่งคอย ตั้งอยู่หน้าลิฟท์ของทุกชั้น 

ลิฟท์ยังมีความวิจิตรบรรจงและมีความต๊ะต่อนยอนนิดหน่อย(ช้า)

อีกมุมหนึ่งบริเวณช่วงที่พักครึ่งชั้นใกล้บริเวณจุดรอลิฟท์
ขึ้นมาถึงชั้น 4 ก็เจอชุดรับแขกสำหรับนั่งรอหน้าลิฟท์เหมือนชั้น 1 เราจะต้องเดินลงมาอีกครึ่งชั้น ก็จะถึงชั้น 4 ที่เป็นห้องพัก

บริเวณหน้าลิฟท์ชั้น 4 
เดินลงมาครึ่งชั้นก็ถึงชั้น 4 มีเก้าอี้วางให้เป็นจุดๆ 

ทางเดินหน้าห้องพัก ตกแต่งด้วยภาพวาดของศิลปินตลอดทาง
เราเข้ามาสำรวจห้องพักคืนนี้กัน อย่างที่บอกเราได้อัพเกรดห้องเป็นห้องสวีท 1 ห้องนอน เปิดประตูเข้ามาปั๊ปก็นำคีย์การ์ดเสียบลงไปในช่องเพื่อเปิดระบบไฟฟ้าภายในห้อง สำหรับการเข้าห้องพักยังคงใช้กุญแจไขประตูนะครับ แต่พวงกุญแจจะมีคีย์การ์ดสำหรับเสียบเปิดระบบไฟฟ้าภายในห้อง เมื่อเปิดประตูเดินเข้ามาฝั่งซ้ายจะเป็นโซนประกอบอาหารได้ มีไมโครเวฟ ซิงก์ล้างจาน กาต้มน้ำ ชากาแฟ และภายในตู้ด้านล่างที่เป็นซี่ (ดูภาพด้านล่าง) เป็นตู้เย็นขนาดเล็กที่มีน้ำอัดลมกระป๋องและเบียร์จำนวนหนึ่ง (เสียตังเพิ่มตามปริมาณที่ดื่มไปนะครับ)

บริเวณสำหรับทำอาหารแบบเบาๆ 
หันไปทางซ้ายก็จะเป็นโต๊ะรับประทานอาหารและเก้าอี้ 2 ตัวถูกจัดวางไว้อย่างเรียบหรูดูดี กลับหลังหันมาก็จะเป็นโซนของห้องนั่งเล่น มีชุดรับแขกที่ปูด้วยหินอ่อน นั่งลงไปอาจจะแข็งๆและเย็นนิดนึง ฝั่งตรงข้ามก็มีทีวี 1 เครื่อง ในห้องนี้จะมีแอร์ 1 ตัว แยกกับห้องนอนที่มีอีก 1 ตัว

โตีะและเก้าอี้สำหรับรับประทานอาหาร

บริเวณห้องนั่งเล่นดูทีวีเปิดไฟส่องสว่างเรียบร้อย

เดินต่อเข้ามาในห้องนอนก็มีที่วางกระเป๋า

เข้ามาถึงโซนห้องนอนก็เจอกับเตียงใหญ่ ฐานของเตียงเป็นการก่อเป็นปูนขึ้นมาเลยและเอาฟูกมาวาง งานนี้ไม่ต้องเปลี่ยนเตียงบ่อย เพราะแข็งแรงทนทานแน่ๆ ภายในห้องนอนก็จะมีโต๊ะเครื่องแป้งแบบโบราณ (แม้ว่าจะดูโบราณคลาสสิคแต่ไม่มีผีนะครับ) ปลายเตียงมีทีวีอีก 1 เครื่องพร้อมเครื่องเล่นดีวีดี แต่ยุคนี้อาจจะไม่ได้ใช้แล้ว

เตียงนอนแบบเตียงเดี่ยว

อีกมุมหนึ่งภายในห้องนอน ด้านนอกจะเป็นระเบียง

โต๊ะเครื่องแป้งดูโบราณดี 

มีป้ายสำหรับแขวนบอกพนักงานว่าให้ทำความสะอาดห้อง

อีกป้ายสำหรับบอกว่า อย่ารบกวนต้องการความเป็นส่วนตัว

ในส่วนของห้องน้ำ จะมีประตูเปิดได้จาก 2 ฝั่ง ประตูแรกเปิดจากฝั่งห้องนอน และอีกประตูเปิดจากฝั่งห้องนั่งเล่น ภายในห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำ ห้องสำหรับ Shower ภายในห้องน้ำมีพื้นที่กว้างมาก สามารถเปิดหน้าต่างชมวิวภายนอกได้ สำหรับแชมพูและสบู่จะใส่ขวดแบบปั๊มไว้วางไว้ 2 จุดคือ อ่างอาบน้ำ และ ห้องอาบน้ำ สามารถปั๊มใช้ได้ตามปริมาณที่ต้องการ

ห้องน้ำค่อนข้างใหญ่กว้างขวางมาก 
โดยรวมสำหรับห้องพัก ไม่เก่าและไม่ใหม่ซะทีเดียว สามารถพักผ่อนได้อย่างสบายภายใต้งบประมาณไม่สูงมากนัก ส่วนนอนหลับหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพื้นฐานการนอนของแต่ละคนว่าหลับง่ายหรือหลับยาก เพราะข้างๆโรงแรมเป็นสถานบันเทิงที่ชื่อว่า Warm up (ถ้านอนไม่หลับแนะนำให้ไปใช้บริการที่ Warm Up เลย หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง) และช่วงหัวค่ำอาจจะมีเสียงเครื่องบินโฉบเฉี่ยวไปมาพอสมควร

โรงแรมนี้ก็รับทัวร์จีนด้วย อาจขาดความสงบบ้างบางช่วง เช่น ตอนเช้าระหว่างการรับประทานอาหารเช้า ทัวร์จีนมักจะรีบออกไปท่องเที่ยวตั้งแต่เช้า และกลับมาช่วงกลางคืนที่อาจได้ยินเสียงบ้างเล็กน้อย แต่สำหรับเราแล้วไม่ใช่อุปสรรคเพราะโดยรวมของโรงแรมดีงาม

มาถึงเวลาของอาหารเช้า โรงแรมนี้ค่าห้องน่าจะรวมอาหารเช้าไว้อยู่แล้ว และบริการเฉพาะลูกค้าโรงแรมเท่านั้น ไม่รับลูกค้าขาจรข้างนอก อาหารเช้าน่าจะพร้อมประมาณ 07.00 น. เพราะมีบางวันลงไปเร็วแต่ห้องอาหารยังปิดไฟอยู่  ช่วงที่ไปใช้บริการมีน้องๆนักศึกษามาฝึกงานหลายคนเลย บางคนก็พูดภาษาจีนได้ด้วยสามารถสื่อสารกับคนจีนได้อย่างสบายมาก  ชอบไถลออกนอกเรื่อง เอาล่ะตามมาดูอาหารเช้ากันเลยครับ

เท่าที่ทราบข้อมูลจากรีวิวต่างๆคือ อาหารเช้าของที่นี่จะมีอาหารเหนือเป็นอาหารเช้าด้วย ลองไปชมกันเลยครับ  ห้องอาหารเช้าจะตั้งอยู่ชั้น 1 ติดกับส่วนของล๊อบบี้หาไม่ยากครับเพราะโรงแรมเล็ก ห้องอาหารจะมีทั้งด้านนอกสัมผัสกับอากาศยามเช้าและด้านในเลือกนั่งได้ตามอัธยาศัย มีแอร์แต่ไม่เปิดเพราะอากาศไม่ร้อนเลยครับช่วงเช้า การตกแต่งก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับโรงแรม มีของตกแต่ง ของโชว์ให้ตื่นตาตื่นใจพอสมควร


บริเวณด้านในของห้องอาหาร

บริเวณด้านนอกของห้องอาหาร เป็นโซนด้านหน้าโรงแรม

อีกมุมหนึ่งบริเวณด้านนอก นั่งท่ามกลางธรรมชาติ

โต๊ะประจำตลอดการพักที่นี่

ของตกแต่ง เมื่อโคมไฟกับตาชั่งมารวมกันก็ได้อย่างที่เห็น
เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เรามาดูอาหารกันเลย อาหารที่นี่ถือว่าหลากหลายมาก ไม่แพ้โรงแรมใหญ่ๆ เลยมีทั้งมุมสลัด จัดเรียงอย่างพิถีพิถันสวยงาม ไข่ดาวที่ทำไว้พร้อมหยิบได้เลย หมูแฮม เบค่อน ไส้กรอก รวมถึงมุมอาหารเหนือ ไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง  และผัดสารพัดผักสารพัดชนิด และบางวันก็มีข้าวซอยไก่

มุมสลัดและเพื่อสุขภาพ

หมูปิ้งของเด็ดของที่นี่ ถ้ามาช้าอาจหมดได้

อาหารเหนือแต่เช้า น้ำพริกหนุ่ม อ่อง และไส้อั่ว



แคปหมู
แคปหมูจัดเรียงอยู่ในขวดโหล และข้าวเหนียวอุ่นๆ ห่อด้วยใบตอง

รวมมิตรอาหารเหนือ

เส้นข้าวซอย

ส่วนประกอบของข้าวซอย

การเข้าพักวันที่สอง มีข้าวซอยไก่ด้วย หยิบเครื่องเองตามอัธยาศัย 







ข้าวผัด

ไก่ทอด
ไข่ดาวสำหรับคนที่ต้องการ American Breakfast

แฮม ไส้กรอก เบค่อน มาครบชุด
มุมข้าวต้ม

แขกของโรงแรมเริ่มลงมารับประทานอาหารเช้ากันแล้ว
นอกจากนี้ยังมีมุมแซนวิช เครื่องดื่มร้อนที่สามารถเลือกชงเองได้ตามสบาย อยากเข้มอยากอ่อนแค่ไหน มีโอวัลติน โกโก้ กาแฟ ชาดำเย็น น้ำส้ม
แซนวิช

มุมกาแฟ โอวัลติน ชา โกโก้

ขนมไทยๆ วุ้น ขนมชั้น จัดวางเป็นถ้วยๆ เพื่อความสะดวกในการหยิบฉวย

มุมเครื่องดื่มร้อน ชงเครื่องหรือชงเองก็ได้

งานคอนเฟลคกับนม ขนมปังก็มา

ชาดำเย็นและน้ำส้ม มีน้ำแข็งบริการด้วยถ้าต้องการความเย็นของเครื่องดื่ม

น้ำเปล่า
มุมผลไม้เหลืองแดง สับปะรดแตงโมก็มา 

ความวิจิตรบรรจงของคนจัดสับปะรด

มุมผลไม้ 
โดยรวมสำหรับอาหารเช้าแล้ว อร่อย หลากหลาย และรับรองว่าการมาเชียงใหม่ (ภาคเหนือ) คุณได้รับประทานอาหารเหนือที่นี่อย่างแน่นอนแถมอร่อยด้วยครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม 
โรงแรมแอทพิงค์นครเชียงใหม่ นิมมาน 12 มีห้องพัก 6 Room Type ดังนี้ครับ
1.Superior (เตียงคู่)  ขนาดห้อง 30 ตารางเมตร จำนวน 6 ห้อง
2.Superior (เตียงเดี่ยว) ขนาดห้อง 30 ตารางเมตร จำนวน 12 ห้อง
3.Deluxe ขนาดห้อง 35 ตารางเมตร จำนวน 6 ห้อง
4.Grand Deluxe ขนาดห้อง 40 ตารางเมตร จำนวน 6 ห้อง
5.One Bedroom Suite ขนาดห้อง 55 ตารางเมตร จำนวน 10 ห้อง
6.Two Bedroom Suite ขนาดห้อง 60 ตารางเมตร จำนวน 4 ห้อง

เว็บไซต์โรงแรม http://www.atpingnakorn.com/  ในเว็บไซต์จะมีเบอร์โทรติดต่อของโรงแรมแต่ละโลเคชั่นครับ

เป็นการรีวิวในฐานะผู้เข้าพักที่ไปใช้บริการจริง ไม่ใช่การรับจ้างรีวิวนะครับ