วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2562

เมื่อแบรนด์นำคู่แข่งขันมาสร้างโอกาส



โดย เสริมยศ ธรรมรักษ์ ภาควิชาการสื่อสารแบรนด์ 
คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

เมื่อช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมามีข้อมูลข่าวสารที่ถูกแชร์กันเยอะระหว่างแบรนด์คู่แข่งขัน 2 แบรนด์ แมคโดนัลด์กับคอนเทนต์ที่เบอร์เกอร์คิงจัดทำขึ้นเกี่ยวกับ A Day Without Whopper ด้วยความแสบๆมันส์ๆ แบบชิงไหวชิงพริบกันสุดฤทธิ์ของแบรนด์ทั้ง 2 ที่มีการฟาดฟันกันมาตลอด ซึ่งมีความสืบเนื่องมาจาก  #แมคโดนัลด์   ในประเทศอาร์เจนติน่า ทำ CSR (Corporate Social Responsibility) ด้วยการนำรายได้จากการขายบิ๊กแมคมอบให้องค์กรการกุศล ดังนั้นทางแบรนด์ #เบอร์เกอร์คิง จึงแสดงน้ำใจด้วยการประกาศลั่นด้วยการงดขาย Whopper 1 วัน และมีการเชิญชวนให้ลูกค้าไปซื้อบิ๊กแมคหรือใช้บริการที่แมคโดนัลด์ นับเป็นการแย่งซีนแมคโดนัลด์ไปไม่น้อย แต่สุดท้ายก็เพื่อผลดีให้กับองค์กรการกุศลต้านมะเร็งในเด็ก 


สรุปแคมเปญนี้
ความแยบยลผสมผสานด้วยความจริงใจ ทำให้ประเด็นของการที่เบอร์เกอร์คิงร่วมสนับสนุนแคมเปญดีๆของแมคโดนัลด์ กลายเป็นการเรียกคะแนนความนิยมชมชอบ (เข้าทำนองคู่แข่งขันเปิดทางให้) และสร้างการบอกต่อแบ่งปันในข่าวสารนี้ทั้งในเชิงสังคมและการตลาดเช่นกัน 

จากกรณีนี้จะเห็นได้ว่า เป็นการฉกฉวยโอกาสจากเรื่องราวของแบรนด์คู่แข่งขันมาสร้างประเด็นและสะท้อนถึงความจริงใจของแบรนด์ด้วย นับเป็นแนวทางสร้างสรรค์ที่เกิดประโยชน์ทั้ง 3 ฝ่าย ฝ่ายแบรนด์แมคโดนัลด์ได้ขายผลิตภัณฑ์ได้และเป็นขยายเสียงเรื่องราวการทำการกุศลของแบรนด์แมคโดนัลด์ คนอาจจะรู้ข่าวสารนี้ไม่มาก แต่เมื่อมีเบอร์เกอร์คิงมาช่วยก็ทำให้คนไม่เคยรู้ก็รู้ด้วย  ฝ่ายแบรนด์เบอร์เกอร์คิง ได้โอกาสในการสร้างภาพลักษณ์และนำเสนอคอนเทนต์นี้ ฝ่ายองค์กรการกุศล ก็อาจจะได้รับการสนับสนุนในด้านยอดเงินมากขึ้น งานนี้เรียกว่า Win Win Win 

อย่างไรก็ตามหากแบรนด์ใดที่จะใช้แนวทางนี้จะต้องมีส่วนผสมของ #ความจริงใจ ไม่ใช่เพียงแค่ "การทำแบบ FAKE หรือตอแหล" ยุคนี้ต้องระวังนะครับ การจะทำอะไรแล้วไม่จริงใจ สักแต่ว่าสร้างประเด็นออกสื่อหรือหวังผลในการบอกต่อแบ่งปัน สักวันหนึ่งอาจจะโดน #จับโป๊ะ ได้ ถ้าสิ่งนั้น "ปลอม" หรือ "ไม่จริง" ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะดับมากกว่าเกิด


จริงๆแล้ว แบรนด์คู่แข่งขันคู่นี้ก็มีการขับเคี่ยวกันมาตลอด เมื่อหลายปีก่อนเคยมีกรณีของวัน International Day of Peace ที่ทางเบอร์เกอร์คิงยื่นข้อเสนอหรือ Proposal ในการร่วมมือกันทำเมนูพิเศษและส่งข้อเสนอนั้นให้กับแมคโดนัลด์ในประเทศนิวซีแลนด์ ให้สงบศึกทางการค้าในวันสันติภาพโลกแล้วมาร่วมมือกันทำ McWhopper อันเกิดจากเมนูยอดฮิตจากทั้ง 2 แบรนด์มารวมกันพร้อมกับออกแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่และวางจำหน่ายที่ร้าน Pop-up Store ที่จะถูกตั้งขึ้นมาเป็นพิเศษที่ Atlanta ซึ่งเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างสำนักงานใหญ่ของทั้ง 2 แบรนด์ และจำหน่ายเมนูนี้เพียงวันเดียวเท่านั้น ก็คือ วันสันติภาพโลก โดยลูกค้าไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าอาหารแต่อย่างใด แค่ร่วมลงนามสัญญาเพื่อสันติภาพด้วยกันก็พอ 
หน้าตาของบรรจุภัณฑ์ที่ถูกตระเตรียมไว้
จากนั้นเบอร์เกอร์คิงได้ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงผู้บริหารของแมคโดนัลด์ผ่านทางหน้าโฆษณาในหนังสือ พิมพ์ด้วยการเชิญชวนแมคโดนัลด์ให้เข้าร่วมแคมเปญดังกล่าว สุดท้ายทางแมคโดนัลด์ปฏิเสธอย่างนอบน้อม ผลจากการปฏิเสธของแมคโดนัลด์ทำให้เกิดกระแสต่างๆ ทางสังคมมากมาย เพราะผู้คนทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์ก็คาดหวังและอยากเห็น McWhopper ขึ้นมาจริงๆ 


จดหมายข้อเสนอของเบอร์เกอร์คิงส่งถึงแมคโดนัลด์

ข้อความปฏิเสธข้อเสนอของ CEO แมคโดนัลด์  ส่งถึงแคมเปญของเบอร์เกอร์คิง



ผลลัพธ์จากการทำแคมเปญนี้ของเบอร์เกอร์คิงได้ผลลัพธ์ในการพูดถึงเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ ทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์เหมือนข้อสรุปที่ปรากฏในคลิปวิดีโอด้านบน  


จากการยื่นข้อเสนอจากเบอร์เกอร์คิง ถึง แมคโดนัลด์ อาจจะเกิดผลได้ 2 ทาง คือ ถ้าแมคโดนัลด์ตอบรับคำเชิญ ผลที่ได้ก็คือสิ่งที่ดีแน่ๆ แต่ที่จะได้รับ Feedback ที่ดีกว่าคือ เบอร์เกอร์คิง เพราะเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน ในทางตรงข้าม ถ้าแมคโดนัลด์ไม่ตอบรับ (ซึ่งเป็นเช่นนั้นจริงๆ) ทางเบอร์เกอร์คิง ก็ยังเป็นผู้เริ่มต้นในการนำเสนอสิ่งดีๆ แถมมีการสื่อสารกับลูกค้าไปแล้วว่า หน้าตาของ McWhopper จะออกมาเป็นอย่างไร แล้วลูกค้าก็มีกระแสตอบรับกลับมาด้วยการอยากให้เกิดเมนูพิเศษนี้ด้วยเช่นกัน 

เราลองมาดูมวยคู่เดิมในอีกเวทีหนึ่งกัน เคสนี้ว่ากันด้วยเรื่องป้ายบอกระยะทาง ด้วยความที่สาขาของแมคโดนัลด์มีอยู่มากมายที่สามารถอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าระหว่างการเดินทาง โดยเฉพาะ McDrive ทางแมคโดนัลด์จึงออกโฆษณามาด้วยการนำเสนอการติดตั้งป้ายริมถนนที่สามารถมองเห็นได้ระดับสายตาคนขับรถยนต์ไปมา ป้ายบอกระยะทางว่า "แมคโดนัลด์อีก 5 กิโลเมตร"    และติดตั้งอีกป้ายหนึ่งเป็นป้ายที่มีความสูงมากพร้อมด้านบนบอกข้อความว่า  "เบอร์เกอร์คิง 258 กิโลเมตร" เป็นการบอกเชิงเปรียบเทียบว่า เบอร์เกอร์คิงอีกไกลนะกว่าจะไปถึงแถมสาขาน้อย พร้อมปิดท้ายด้วยว่า "แมคโดนัลด์มีสาขา McDrive กว่า 1,000 สาขาอยู่ใกล้ๆคุณ" เป็นโฆษณาที่มีการจิกกัดแบบแสบๆมันๆ  ยังครับ เรื่องไม่จบแค่นี้ คิดเหรอว่าเบอร์เกอร์คิงจะยอม 
ภาพระยะไกลเปรียบเทียบป้ายแมคโดนัลด์ในระดับสายตา กับเบอร์เกอร์คิง ป้ายสูงลิบลิ่ว
ป้ายบอกทางเบอร์เกอร์คิงที่จัดทำโดยแมคโดนัลด์ที่อยู่สูงมากและบอกว่าอีก 258 กิโลเมตร
ป้ายระดับสายตาบอกทางว่า McDrive อีกเพียงแค่ 5 กิโลเมตร
ยืนยันจากแมคโดนัลด์ว่ามีสาขา McDrive มากกว่า 1,000 สาขาในตอนท้ายของคลิป
ต่อมาเบอร์เกอร์คิงก็สร้างโฆษณาต่อเนื่องสวนกลับด้วยการใช้รถคันเดียวกันที่ปรากฏในโฆษณานั้น โดยให้รถยนต์คันเดียวกันบนถนนสายนั้น ขับรถเข้าไปซื้อกาแฟที่แมคโดนัลด์ ย้ำว่าซื้อกาแฟอย่างเดียว เพราะยังต้องเดินทางอีกยาวนาน หลังจากซื้อกาแฟเสร็จ 2 หนุ่มสาวในรถยนต์คันนั้นก็ไปกินเบอร์เกอร์คิงอย่างอร่อย พร้อมพูดว่า ไม่ไกลเท่าไหร่ นี่คือการสวนกลับในเชิงการตลาด  ดูคลิปต่อเนื่องกันไปเลยนะครับจากคลิปด้านล่างนี้ (ช่วงต้นเป็นของแมคโดนัลด์จากนั้นเป็นของเบอร์เกอร์คิง) 


ยังไม่จบครับ คู่นี้ก็มีการเหน็บกันอย่างสนุกสนานในภาพยนตร์โฆษณาอีกชิ้นหนึ่ง ที่เป็นเรื่องราวของเด็กคนหนึ่งซื้อแมคโดนัลด์มากิน แต่โดนเพื่อนแย่งไปกินตลอด เป็นการบอกว่าแมคโดนัลด์อร่อยมีแต่คนอยากกินเลยแย่งไปกินหรือมาขอกินด้วย เด็กคนนี้ก็เลยแทบจะไม่ได้กินเพราะมีคนแย่ง สุดท้ายเด็กคนนี้ก็เลยซื้อแมคโดนัลด์มาเหมือนเดิมแต่เอาถุงของเบอร์เกอร์คิงมาบัง สุดท้ายไม่มีใครมาแย่งเลย เป็นไงหล่ะครับ ฟาดฟันกันอย่างสนุก ดูจากคลิปด้านล่างได้นะครับ 


เราเรียกโฆษณาแบบนี้ว่า โฆษณาเปรียบเทียบหรือ Comparative Advertising แต่มีความเสี่ยงก็คืออาจจะมีการขึ้นโรงขึ้นศาลเพราะเกิดการฟ้องร้องกันได้นะครับ และในประเทศไทยห้ามทำโฆษณาแนวนี้ด้วย  

#ไม่มีใครมีความสุขตลอดเวลา เป็นอีกข้อความหนึ่งที่เบอร์เกอร์คิง เหน็บๆไปที่แมคโดนัลด์ แน่นอนครับ เราทราบกันดีแล้วว่า ฝั่งแมคโดนัลด์จะมีชุดอาหารที่เรียกว่า Happy Meal แต่ทางเบอร์เกอร์คิง เลยออกชุด Real Meal พร้อมกับบอกกับลูกค้าว่าขอให้ใช้ชีวิตในทางของตัวเองหรือแบบที่ตัวเองเป็น ควบคู่ไปกับการนำเสนอเมนูอาหารชุด Real Meal อาหาร "จริง" ด้วยการพรีเซนต์ผ่านบรรจุภัณฑ์ที่สะท้อนถึงอารมณ์ของคนเรา เช่น อาหารสุดโกรธ (Pissed Meal)  Blue Meal ที่เป็นชุดอาหารแห่งความเศร้า Salty Meal ชุดอาหารแห่งความหงุดหงิด YAAAS Meal เป็นโมเม้นท์ของอารมณ์สุดๆ เช่น ตื่นเต้นสุด ดีใจสุด เป็นต้น ถือเป็นการเหน็บๆ แซวๆ คู่แข่งขัน ในขณะเดียวกันทางเบอร์เกอร์คิงก็นำประเด็นแห่งความรู้สึกหรืออารมณ์ต่างๆนี้ไปสื่อสารผ่านภาพยนตร์โฆษณาว่า ไม่มีชีวิตใครที่มีความสุขตลอดเวลา แต่ท้ายที่สุดแล้วมันจะผ่านพ้นไปได้ ด้วยการรวมปัญหาต่างๆในชีวิตที่เรามักจะเจอกันมานำเสนอ  

Happy Meal VS. Real Meal จากเบอร์เกอร์คิง

บรรจุภัณฑ์และชื่อของชุด Real Meal ที่แบ่งตามความรู้สึก



อีกหนึ่งสื่อที่ใช้ในการสื่อสารผ่านสื่อโฆษณาสิ่งพิมพ์ที่มีนัยยะเชิงเปรียบเทียบแบบเบาๆ ของแบรนด์เบอร์เกอร์คิง ก็คือ การนำภาพเหตุการณ์ไฟไหม้สาขาหนึ่งของเบอร์เกอร์คิง มาใช้เป็นภาพในชิ้นงานโฆษณาแถมมีข้อความโฆษณาที่มีความเข้ากันว่า Flame Grilled since 1954 หรือเราย่างเนื้อมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1954 จนถึงทุกวันนี้ หรือเข้าทำนองว่า "สาเหตุที่ร้านเราไฟไหม้เพราะเราย่างด้วยไฟจริงๆ ไม่ได้ใช้เตาไฟฟ้านะจ๊ะ"  นัยยะอาจจะเป็นการบอกเชิงเปรียบเทียบกับคู่แข่งขันอีกแบรนด์หนึ่งด้วย 
ชิ้นงานโฆษณาทางสื่่อสิงพิมพ์
ลองมาดูบริบทเมืองไทยกันบ้างจากการนำคู่แข่งมาสร้างโอกาสบางอย่าง เมื่อเร็วๆนี้ทางแบรนด์ AIS  ได้ฉลองครบรอบ 30 ปี ทางผู้บริหารแบรนด์ DTAC จึงได้ส่งความปรารถนาดีไปให้กับแบรนด์ AIS ด้วยการขึ้นเฟสบุ๊คของ CEO คุณ Alexandra Reich ด้วยข้อความอวยพรวันเกิดให้กับ AIS พร้อม Tag ชื่อคุณสมชัย เลิศสุทธิวงค์ CEO ของ AIS และในภาพเค้กก็ไม่ทิ้ง Brand Identity สีสันของแบรนด์ดีแทค คือ สีฟ้า พร้อมกับคำว่า Never Stop Happiness! เนียนมากๆ 
ภาพเค้กพร้อมการ์ดอวยพรวันเกิดให้กับ AIS จาก CEO ของ DTAC 
ข้อความและโพสต์จาก Alexandra Reich ถึง คุณสมชัย CEO ของ AIS
ในฟากฝั่งของแบรนด์ AIS โดยคุณสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ก็มาตอบกลับเพื่อแสดงความขอบคุณในมิตรภาพและความปรารถนาดี ทางคุณ Alexandra ก็โพสต์ภาพตุ๊กตาน้องอุ่นใจเพื่อแสดงความขอบคุณเช่นกัน 
การแสดงความขอบคุณตอบกลับจากคุณสมชัย ถึง คุณ Alexandra
ดังนั้นจากเคสต่างๆที่กล่าวมา แบรนด์สามารถนำแบรนด์คู่แข่งขันมาสร้างโอกาสเพื่อใช้ในการสื่อสารในรูปแบบของการช่วยเหลือ สนับสนุน แสดงความยินดี หรืออีกแบบหนึ่งก็เป็นการเหน็บแนม แซว แซะ เช่น กรณีของแบรนด์รถยนต์ที่โฆษณาเพื่อสื่อสารในเชิงแซว เหน็บ บลัฟกันสุดๆ เหมือนชิ้นงานโฆษณาด้านล่างผ่านการแสดงความยินดีกับรถยนต์ Audi ที่ได้รับรางวัล South African Car of the Year 2006 จากแบรนด์ BMW เจ้าของรางวัล ผู้ชนะรางวัล World Car of the Year 2006 ความแสบสันต์มันอยู่ที่รถยนต์ค่าย BMW บอกถึงความเป็นเจ้าของรางวัลที่ตัวเองได้รับในเชิงเกทับบลัฟกันแหลกว่ารางวัลของฉันเหนือกว่า  

จากนั้น Audi ก็ออกโฆษณาเพื่อแสดงความยินดีกลับมายังรถยนต์ BMW เจ้าของรางวัลผู้ชนะ World Car of the Year 2006 จาก Audi เจ้าของรางวัลผู้ชนะ Six Consecutive Le Mans 24-Hour Races ด้วยการครองตำแหน่งรางวัลรถยนต์ดังกล่าวถึง 7 ปีซ้อน (2000-2006) 



ต่อมารถยนต์แบรนด์ SUBARU ก็ออกโฆษณามาบอกว่า ทำได้ดีมากทั้ง Audi และ BMW สำหรับการชนะ Winning the Beauty Contest จาก ผู้ชนะรางวัล International Engine of the Year 2006 นัยยะว่า แบรนด์ SUBARU ได้รับรางวัลด้านเครื่องยนต์ระดับนานาชาติด้วย


นี่คือความแสบๆมันส์ๆ สไตล์การนำคู่แข่งขันมา แซะ แซว เหน็บ ก็จะเป็นอีกหนึ่งสีสันทางการตลาดที่เรามักจะพบเห็นกันในต่างประเทศ 

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าแบรนด์ใดจะใช้โอกาสจากคู่แข่งขันหรืออะไรก็ตาม สิ่งสำคัญสำหรับแบรนด์ยุคนี้ก็คือ การแสดงถึงความจริงใจของแบรนด์ เพราะทุกวันนี้แบรนด์เป็นเป้า(หมาย) ของผู้คนในสังคมที่กำลังจับตจ้องมองแบรนด์อยู่ว่า #แบรนด์ของคุณเป็นคนอย่างไรในสังคม 

วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

Le Meridien Chiang Rai ได้มาพักแล้วจะตกหลุมรักเธอ


Le MERIDIEN Chiang Rai Resort 
ได้มาพักแล้วจะตกหลุมรักเธอ 

(การเขียนรีวิวนี้ไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ เกิดจากการใช้จ่ายเงินตัวเองทั้งหมด) 

ครั้งนี้ขอเปลี่ยนที่นอนมาเชียงราย ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ด้วยสายการบินที่ตอนนี้เชื่อว่า "ตรงเวลาทั้งออกเดินทางและถึงจุดหมายปลายทางเป๊ะ" ไทยแอร์เอเชีย ด้วยไฟลท์ FD3201 ออกจากกรุงเทพ 09.00 น. ถึงสนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย เวลา 10.15 น. (ถึงก่อนเวลา 10 นาที) สงสัยกัปตันเหยียบมิด
การเดินทางครั้งนี้ใช้ Voucher บัตรเครดิตของธนาคารกรุงเทพร่วมกับแอร์เอเชียที่ให้สิทธิ์ฟรีในการเปลี่ยนเป็นที่นั่ง Hot Seat ได้ที่นั่ง 1F ริมหน้าต่าง แถมได้รับเครื่องดื่มมูลค่า 60 บาทฟรีบนเครื่องด้วย 

ถึงสนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย มีคณะดนตรีต้อนรับด้วย
เมื่อมาถึงสนามบินก็รอรับกระเป๋าเดินทาง ออกมาเป็นใบแรกเลยรีบสอยกระเป๋าแล้วออกจากประตูผู้โดยสารขาเข้าเลี้ยวซ้ายไปยังประตูทางออกด้านข้างของสนามบิน พบกับเคาน์เตอร์บริการแท๊กซี่ แท๊กซี่ที่นี่คิดค่าโดยสารตามมิเตอร์ที่ปรากฏและบวกเพิ่ม 30 บาท โดยมิเตอร์เริ่มต้นที่ 40 บาท เป้าหมายปลายทางคือ โรงแรม เลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท เมื่อถึงเป้าหมายเลขมิเตอร์อยู่ที่ 70 บาท บวกที่ต้องจ่ายเพิ่มอีก 30 บาท รวมเป็น 100 บาท ราคาไม่โหดเหมือนแท๊กซี่สนามบินภูเก็ต 

บริเวณโดยรอบโรงแรมค่อนข้างเงียบ โรงแรมห่างจากสนามบินแม่ฟ้าหลวงประมาณ 8 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาที เราออกจากสนามบินแม่ฟ้าหลวงประมาณ 10.40 น. ถึงโรงแรมเวลา 10.50 น. เมื่อเลี้ยวเข้ามาก็เจอป้ายโรงแรมเด่นชัด 

ป้ายหน้าโรงแรมชัดเจน 
บริเวณทางเข้าโรงแรม
ทางขึ้นล๊อบบี้
รถสามารถขับขึ้นทางลาดขึ้นไปบนล๊อบบี้ได้เลยเพื่อเช็คอิน เมื่อรถจอดเทียบเรียบร้อย พนักงานเดินเข้ามาต้อนรับพร้อมทั้งยกสัมภาระให้ ปกติโรงแรมกำหนดให้เช็คอินเวลา 15.00 น. เรากะว่าจะรอโดยจะไปใช้บริการส่วนต่างๆของโรงแรมก่อน ทางพนักงานบอกว่า ห้องพักยังไม่เรียบร้อย แต่ถ้าห้องพักพร้อมจะไปแจ้งให้ทราบ เลยฝากกระเป๋าไว้ที่ล๊อบบี้ก่อน 
บริเวณด้านหน้าของล๊อบบี้

บริเวณล๊อบบี้
บริเวณล๊อบบี้ 
สำหรับการจองห้องพักครั้งนี้ จองผ่านเว็บไซต์ของโรงแรม  http://bit.ly/32tGUHU ที่อยู่ในเครือ Marriott และถ้าสมัครสมาชิกของ Marriott Bonvoy (ลอยัลตี้โปรแกรม) จะได้รับสิทธิ์ต่างๆ สำหรับการเข้าพักครั้งนี้ 2 คืน ห้องพักแบบ Deluxe Garden View, King Bed ระหว่างวันที่ 15 - 17 กรกฎาคม 62) รวม 5,185 บาท Net แต่ไม่รวมอาหารเช้า เราก็เลยลองสอบถามว่าถ้าจะรับอาหารเช้า 2 วันด้วยเท่าไหร่ ทางโรงแรมจึงคิดให้ในอัตราพิเศษ เพราะเป็นสมาชิก SPG (เก่า) จาก 499 บาทต่อคนต่อมื้อ เป็น 300 บาทต่อคนต่อมื้อ รวม 600 บาท และขอ Late เช็คเอ้าท์ไว้ถึง 13.30 น. ทางพนักงานแจ้งว่าได้ตามที่ขอไว้ 

หลังจากเช็คอินจัดการเรื่องเอกสารเรียบร้อยก็ไปใช้บริการที่ Latitude 19 (เลข 19 มาจากละติจูดตามพิกัดของที่ตั้งโรงแรม ถ้าเป็นเลอเมอริเดียนเชียงใหม่คือ Latitude 18)  ให้บริการเค้ก ขนม กาแฟ ชา และช่วงกลางคืนก็จะมีเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ทั้งหลายให้บริการ เมื่อเข้าไปในห้อง Latitude  มีผู้ชายท่านหนึ่งคิดว่าไม่ใช่พนักงานทั่วไปแน่ คิดในใจว่าน่าจะเป็น General Manager ของโรงแรม คุณ Murali Viswanathan เป็นชาวอินเดีย มาสอบถามว่าต้องการรับอะไร (เรียกว่าใส่ใจแขกที่เข้าพักตั้งแต่ GM จนถึงพนักงานทุกคนเลย ขอชื่นชมสุดๆ) หลังจากเราเดินชมตู้เค้กและเบเกอรี่ต่างๆแล้ว ก็พบว่ามีเค้กหน้าตาดีหลายชิ้น แต่ขอลองเค้กลอดช่องก่อนแล้วกันดูแปลกดี ก็เลยจัดพร้อมกับคาปูชิโน่เย็นอีก 1 แก้วแยกไซรัปต่างหาก


เค้ก เอแคลหลากหลายรูปทรง รูปร่างและรูปลักษณ์
เค้ก Signature ช่วงนี้มี 3 ชนิดเรียงอยู่ในตู้ สนนราคาชิ้นละ 180 บาทเน็ต
บริเวณเคาน์เตอร์บาร์ 
ภายในห้อง Latitude 19 เปิดให้บริการเวลา 08.00 - 23.00 น. มีขนม เค้ก เบเกอรี่ต่างๆให้บริการ ช่วงกลางคืนก็จะเน้นไปที่เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์
บนเคาน์เตอร์มีชาสมุนไพรสารพัดชนิด สามารถซื้อไปชงดื่มต่อที่บ้านได้
การตกแต่งมุมต่างๆภายในห้อง Latitude 19
นั่งชิลสบายๆได้เลย
ที่แปลกและดูไม่เข้ากันก็ชุดขวดโหล "ยาดอง" นี่แหละ แต่น่าสนใจดี เป็นการนำความเป็นท้องถิ่นมาให้บริการ  โหลแรก โด่ไม่รู้ล้ม (ช่วยขับปัสสาวะ บำรุงสตรีหลังคลอด ช่วยกระตุ้นสมรรถภาพทางเพศ)  ยาดองโหลถัดมาคือม้ากระทืบโรง (แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย คลายเส้น บำรุงธาตุ เจริญอาหาร) และสาวน้อยตกเตียง (ช่วยบำรุงโลหิต บำรุงร่างกาย แก้ปวดเมื่อยหลัง เอว ผอมแห้งแรงน้อย ไม่ค่อยมีกำลัง)  โดยเค้าระบุว่า ยาดอง ผ่านขั้นตอนการกลั่นมาอย่างดีเสิร์ฟพร้อมกับผลไม้รสเปรี้ยวนานาชนิด ราคาเซ็ตละ 100 บาทเน็ต ใครสนใจเชิญได้ครับ
มุมยาดองก็มี 
นั่งรอไม่นานเครื่องดื่มและเค้กที่สั่งก็มาเสิร์ฟ จัดจานมาสวยงาม คาปูชิโน่เย็นแยกไซรัป เสิร์ฟคู่กับคุกกี้ 1 ชิ้น และเค้กลอดช่องได้การผสมผสานระหว่างเนื้อเค้กกับตัวลอดช่องเย็นๆ สนนราคาของเค้กอยู่ที่ราคา 180 บาทเน็ต ครับ 
คาปูชิโน่เย็นแยก Syrup เสิร์ฟมากับคุกกี้
จัดตกแต่งจานสวยงาม
ขอผ่าให้ดูด้านในของเนื้อเค้ก 
นอกจากนี้ยังมีเค้กมะพร้าวอัญชันอีก 1 รายการที่น่าสนใจ
เค้กมะพร้าวอัญชัน

หลังจากอิ่มอร่อยเรียบร้อย ประมาณ 11.30 น. พนักงานก็เข้ามาบอกว่าห้องพักเรียบร้อยแล้วสามารถเข้าพักผ่อนได้ โดยพนักงานจะพาไปที่ห้องพัก โดยห้องพักอยู่ที่ ตึก 1 ชั้น 4  ห้อง 1408  สำหรับห้องพักของโรงแรมจะมีทั้งหมด 5 อาคาร เลขนำหน้าจะเป็นเลขอาคาร เลขถัดมาคือชั้น โดยทุกอาคารจะมีห้องพัก 4 ชั้น มีลิฟท์ในแต่ละอาคาร ล๊อบบี้ ห้อง Latitude 19 อยู่ชั้น 3 ขึ้นไปอีก 1 ชั้น ก็จะเป็นห้องพัก 

ตอนจองห้องพักไประบุขอห้องพักชั้นสูงเพื่อชมวิว และขอห้องใกล้ลิฟท์ ขอบอกเลยว่าได้ตามปรารถนาไว้ทุกประการ ใส่ใจและตามใจลูกค้าสุดสุด  มาชมห้องพักกันครับ ห้องพักแบบ Deluxe Garden View นี้มีขนาดพื้นที่ใช้สอยประมาณ 53 ตารางเมตร ทุกห้องมีระเบียง นั่งชิลล์อ่านหนังสือ ชมวิวได้ มองตรงไปไกลๆเลยสะพานไปอีก นั่นคือ แม่น้ำกก เหมือนได้ทั้งวิวสวนและวิวแม่น้ำแต่ไกลนิดนึง แต่ถือว่าโอเคมาก 
วิวจากระเบียงห้องอาคาร 1 ชั้น 4 
ระเบียงกว้างพอสมควร 


ลองมาชมห้องพักกันนะครับ เริ่มตั้งแต่ คีย์การ์ดจะได้รับ 2 ใบ ภายในห้องพักมีอุปกรณ์พื้นฐานต่างๆ ภายในตู้เสื้อผ้ามีที่รองรีด เตารีด น้ำดื่มมีให้ 4 ขวด วางอยู่ตรงมินิบาร์ 2 ขวด และให้ห้องน้ำอีก 2 ขวด เครื่องดื่มที่อยู่ในตู้เย็นเสียเงินเพิ่ม 
คีย์การ์ดออกแนวงานศิลปะ
ทีวีขนาดใหญ่มาก 
บริเวณโซนโต๊ะทำงาน
เตียง King Size 
บนเตียงจะมีซองใส่เอกสารให้ข้อมูลต่างๆของโรงแรม โปรดอย่าเพิกเฉย เพราะในซองนี้มีการ์ดที่สามารถนำไปแลกกาแฟฟรีที่ห้อง ละติจูด 19 จะร้อนหรือเย็นก็ได่ตามชอบใจ
บนเตียงมีแผ่นพับที่ให้ข้อมูลต่างๆของโรงแรมไว้ และมีการ์ดสำหรับไปแลกกาแฟฟรีที่ห้อง Latitude 19
โซนมินิบาร์ มีกาแฟ ชา ฟรี ที่เหลือเสียตังเพิ่ม
ห้องพักที่อยู่ชั้น 4 เพดานจะสูงนิดนึงให้ความรู้สึกโปร่งโล่งสบาย ไม่อีดอัด เพราะเป็นชั้นบนสุดเพดานจึงเป็นไปตามโครงสร้างของตัวอาคาร
เพดานจะเป็นไปตามโครงสร้างของตัวอาคารเนื่องจากอยู่ชั้นบนสุด
เราลองมาดูในส่วนของห้องน้ำกัน สำหรับห้องน้ำจะมีช่องสำหรับเปิดมาที่ส่วนห้องพัก ภายในห้องน้ำมีห้องในส่วนอาบน้ำเป็นฝักบัว และอ่างแช่ตัว และบริเวณโถส้วมมีสายฉีดชำระ (ถ้าไม่มีอาจจะเป็นปัญหาสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย) ภายในห้องน้ำมี in-room amenities บอดี้วอช แชมพู ครีมนวด ครีมทาผิวของ Malin+Goetz กลิ่นหอมดี นอกจากนี้ยังมีแปรงสีฟันยาสีฟัน ที่โกนหนวด สำลีคอตตอนบัด  

อ่างล่างหน้าภายในห้องน้ำ

อ่างอาบน้ำ
อุปกรณ์แชมพู ครีมนวดและบอดี้วอชของ MALIN+GOETZ
ห้องอาบน้ำฝักบัว 
อุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายในห้องน้ำ 

ห้องน้ำมีสายฉีดชำระด้วย
หลังจากเข้าห้องพักเรียบร้อย แอร์เย็นฉ่ำ ไม่นานพนักงานก็นำกระเป๋าสัมภาระต่างๆมาให้ที่ห้องพัก จัดของเรียบร้อยออกไปสำรวจพื้นที่ภายในโรงแรมกันนะครับ 
ต้นจามจุรีชื่อ มะเมี๊ยะ ด้านหลังเป็นห้องพักโซน Garden view
บริเวณที่นั่งพักผ่อนใกล้สระว่ายน้ำใต้ต้นจามจุรีชื่อ สุขเกษม
สระว่ายน้ำ
อาคารหลักของโรงแรมที่มีล๊อบบี้และห้องอาหารต่างๆ 
สะพานภายในโรงแรมอีกหนึ่งมุมถ่ายรูปของโรงแรม

มุมสอนภาษาไทย ภาษาถิ่น

อีกกิจกรรมหนึ่งที่น่าสนใจที่ทางโรงแรมเรียนเชิญผู้เข้าพักเข้าร่วมคือ กิจกรรม "ชายามบ่าย" ทุกวันเวลา 15.00-16.00 น. ที่ The Library ซึ่งเป็นกิจกรรมพิเศษสำหรับผู้เข้าพักกับทางโรงแรมในช่วงที่โรงแรมมีการปรับปรุงพื้นที่บางส่วน โดยกิจกรรมนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เราก็เลยรับคำเชิญไปจิบน้ำชากาแฟยามบ่ายในครั้งนี้ด้วย 

The Library จะอยู่ใกล้กับล๊อบบี้ ชั้น 3 ช่วงปรับปรุงจะเป็นที่ตั้งของห้องอาหารอิตาเลียนที่ชื่อว่า Favola ด้วยแต่จะเปิดให้บริการช่วงเย็น 18.00 - 22.00 น. สำหรับช่วง 15.00 - 16.00 น.จะเป็นกิจกรรม "ชายามบ่าย" พร้อมของว่างต่างๆ ภายใน The Library มีขนาดห้องไม่ใหญ่มาก เพราะเดิมใช้เป็นห้องสมุดสำหรับอ่านหนังสือ เล่นอินเตอร์เน็ต 

เมื่อเดินเข้ามาในส่วนของกิจกรรม "ชายามบ่าย" พนักงานให้การต้อนรับเชื้อเชิญและให้บริการดีมาก สอบถามว่าจะรับกาแฟอะไร เอสเพรสโซ่ หรือ อเมริกาโน หรือชาก็มีให้บริการ สำหรับของว่างสามารถตัก หยิบเองได้ตามใจชอบ 
บรรยากาศภายใน The Library

เรือขนมหวาน คุกกี้ มาการอง 
ชอคบอลสีสันต่างๆ
รวมมิตรขนมไทย
เอแคลร์
สโคน
แยมและครีมสดสำหรับทานกับสโคน
มุมแก้วและน้ำร้อนสำหรับชงชา
ขนมปังไส้กรอก
ครัวซองโดยมีพนักงานอุ่นร้อนและใส่ไส้ให้


สามารถเลือกไส้ได้ มีทั้งแฮม ชีส และไส้อื่นๆ
ชามีให้เลือกหลากหลายชนิด
ชามีทั้ง Twinings และ ลิปตัน
ทาร์ตไส้อั่ว
พักท้องสักพักก่อนที่จะมาใช้บริการห้องอาหารอิตาเลียน Favola ในเวลา 17.00 น.ที่ห้องเดียวกันนี้จะเปลี่ยนเป็นห้องอาหารสไตล์อิตาลีกัน 

ห้องอาหารอิตาเลียน Favola นี้มีรีวิวอยู่พอสมควรใน Wongnai วันนี้ได้โอกาสมาสัมผัสจริงๆ ก่อนมาใช้บริการโทร.มาสำรองที่ไว้ เพราะทางรีเซปชั่นบอกว่า บางวันก็เต็ม บางวันก็มีโต๊ะว่าง เพื่อประกันความเสี่ยงจึงโทรจองไว้ดีกว่า สำหรับอาหารที่จะนำเสนอเป็นการรวมอาหาร 2 มื้อเข้าด้วยกัน  ลุยกันเลยครับ 

บรรยากาศภายในห้องอาหารไม่ได้รู้สึกว่าเป็นสถานที่ชั่วคราว ให้ความรู้สึกเหมือนห้องอาหารอิตาเลียนจริงๆ เดิมห้อง Favola จะอยู่ริมแม่น้ำกก ภายในโรงแรม หลังจากปรับปรุงเสร็จน่าจะสวยงามน่าดู 
อุปกรณ์อาหารการกินบนโต๊ะที่จองไว้
อีกมุมหนึ่งภายในห้องอาหารนั่งแบบเคาน์เตอร์บาร์สูง
ภายในห้องอาหาร Favola 
สำหรับเดือนกรกฎาคม 2562 ทางห้องอาหาร Favola มีเทศกาลอาหารโปรโมชั่นเป็น Alaska King Crab มี 6 รายการอาหารพิเศษเฉพาะช่วงนี้ ราคาบางรายการแอบแรง
เมนูโปรโมชั่นเทศกาลปูอลาสก้า

พนักงานที่ห้องอาหารนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอาหารแต่ละชนิดในเมนูได้ดี ถ้าท่านใดไม่สันทัดอาหารอิตาลีก็สอบถามพนักงานได้  หลังจากพนักงานรับออเดอร์ไปสักครู่ ก็นำขนมปังอุ่นร้อนกรอบนอกนุ่มในมาเสิร์ฟ พร้อมกับดิป 3 ชนิด ตามภาพ
เซ็ตขนมปัง
ราวีโอลี่ผักโขม เป็นคอมพลีเมนทารี่จากห้องอาหาร 
อันนี้จำชื่อไม่ได้แต่เป็น Complimentary ของอีกมื้อหนึ่งมานำเสนอรวมกันเลย
จานแรกเริ่มจากซุปทะเลสไตล์อิตาเลียน พนักงานนำถ้วยซุปที่มีหอย ปลาหมึก ปลาและอาหารทะเลพร้อมกับขนมปังกรอบ 2 ชิ้นมาวางให้ จากนั้นก็เทน้ำซุปจากกาใส่ลงไปให้  เป็นวิธีเสิร์ฟที่มีขั้นตอนดี การกระเด็นของน้ำซุปไปบริเวณข้างจานก็กลายเป็นงานศิลปะไป อาหารจานนี้อยู่ในเมนูหลักของทางร้าน ราคาซุปอยู่ที่ 350 บาท


อาหารจานถัดมามีชื่อว่า Alaskan King Crab Alaskan and Avocado and Orange-lime Dressing หรือ
สลัดปูอลาสก้าที่มีน้ำสลัดอโวคาโดและส้ม ปูมีทั้งแบบเป็นชิ้นเล็กปะปนอยู่ในผักและอยู่ในตัวขาปูซึ่งกระเทาะเปลือกมาให้แล้ว ราคาจานนี้อยู่ที่ 350 บาท


สำหรับจานถัดมาก็เป็นสลัดกุ้งพันพาม่าแฮม ราคาจานนี้อยู่ที่ 450 บาท


จานต่อมาคือ ข้าวรีซอตโตผัดกับครีมและให้ความฉ่ำของข้าว มีเนื้อปูอลาสก้าหั่นเป็นชิ้นๆ เสิร์ฟมาพร้อมกับแอสปารากัส รสชาติเข้ากันอย่างกลมกล่อม ราคาจานนี้อยู่ที่ 550 บาท


จานถัดมาชื่ออาหารว่า Squid ink pasta with Alaskan King Crab เมนูนี้รสชาติกลมกล่อมเข้มข้น สนนราคาอยู่ที่ 500 บาท 
พาสต้าหมึกดำเสิร์ฟมาพร้อมกับก้ามปูอสาสก้า
สำหรับเครื่องดื่มที่สั่งแบบไม่มีแอลกอฮอลล์ คือ เวอร์จิ้นโมจิโตะ และ โลคอลครัช ราคาแก้วละ 200 บาท

เวอร์จิ้นโมจิโตะ
Local Crush
ปิดท้ายด้วยของหวาน ไอศกรีม Triple Chocolate and Caramel 1 ลูก (150 บาท)

บริเวณด้านหน้าของห้องอาหารตอนกลางคืนก็มีป้ายไฟคำว่า LOVE มีแขกที่่เข้าพักโรงแรมมาถ่ายรูปกันเยอะเลย
บริเวณด้านหน้าห้องอาหาร จัดเป็นมุมถ่ายรูปได้ใครจะบอกรักใครก็ถ่ายภาพได้
ออกมาปิดท้ายมื้อค่ำด้วยวิวสะพานภายในโรงแรมก่อนเข้าห้องพัก

อีกมุมหนึ่งบริเวณล๊อบบี้ มีการตกแต่งด้วยเทียน 

เดินมาอีกนิดหนึ่งก็พบกับ Latitude 19 มีการจัดโต๊ะไว้สำหรับนั่งดื่มชิล ชมบรรยากาศยามค่ำคืน
หลังจากจัดอาหารอิตาเลียนเรียบร้อยกลับมาที่ห้องพัก ทางโรงแรมก็มาเทิร์นดาวน์ห้องให้ พร้อมกับวางชอคโกแลตขนาดกะทัดรัดให้ 2 ชิ้น พร้อมข้อความบนชอคโกแลตว่า Enjoy Chocolate และคำว่า Enjoy น่าจะเป็นคำติดปากของพนักงานในโรงแรมนี้ เช่น เมื่อพนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟก่อนจากไปก็บอกว่า Enjoy นะครับ 

ชอคโกแลตพร้อมข้อความ Enjoy 
จบไปครับสำหรับวันแรก คืนแรก ตื่นเช้ามาก็เริ่มกันด้วยอาหารเช้าที่ห้องอาหาร Latest Recipe (เลเทส ริซิพี) ได้มีโอกาสอ่านรีวิวจากหลายๆที่ เค้าบอกว่าอาหารเช้าของโรงแรมนี้ดี จะไม่รู้สึกจนได้มาเจอประสบการณ์จริงด้วยตัวเอง ขอบอกว่าดีมากครับ (สำหรับราคาที่เราจ่ายเพิ่มค่าอาหารเช้า 300 บาทต่อมื้อต่อหัว) มาชมอาหารเช้ากันเลยนะครับ 

จุดเด่นของอาหารเช้าที่นี่ คือ มีอาหารพื้นเมืองให้บริการอยู่ด้วย เช่น ข้าวซอยไก่ ไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม หมูยอ น้ำพริกอ่อง แกงอ่อม รวมถึงการนำอาหารพื้นถิ่น พื้นเมืองไปผสมผสานกับขนมปังต่างๆ ในขณะเดียวกันก็มีความหลากหลายของอาหารให้เลือกมากมาย โดยปกติทั่วไปก็มี ไข่ดาว ออมเลต มาเที่ยวนี้เราไม่ได้แตะเลย 



ความใส่ใจของพนักงานที่เห็นได้ชัดคือ เมื่อเดินมาใกล้ห้องอาหารจะมีพนักงานเดินมาเปิดประตูต้อนรับ โดยฝั่งที่เราเดินมาไม่ใช่ด้านหน้าแต่เป็นอีกด้านของห้องอาหาร พนักงานก็มาต้อนรับและให้เราเลือกโต๊ะนั่งได้ตามสบาย มีอยู่วันนึงพนักงานเลือกโต๊ะที่เป็นโซฟาให้จะได้นั่งสบาย แต่เราเห็นว่ามันนั่งได้ 4-5 คน ก็รู้สึกเกรงใจขอเปลี่ยนเป็นโต๊ะที่มีที่นั่งน้อยกว่านั้น 

พนักงานของห้องอาหารแนะนำให้เริ่มต้นด้วย เครื่องดื่มเบิกเนตร (Signature Eye Openers) วางอยู่บริเวณด้านหน้าของห้องอาหาร หยิบดื่มได้เลยรับรอง "เบิกเนตร" แน่นอน ซึ่งทางโรงแรมมีหลายสูตร บางสูตรอาจจะเผ็ดนิดหน่อยเพราะมีส่วนผสมของพริกเป็นการเบิกเนตรด้วยความเผ็ด บางสูตรจะมีรสชาติเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด จะให้ดีลองให้ครบก็ดีนะครับ แต่ละวันจะมี 2 สูตรให้เลือกดื่ม 


หยิบดื่มก่อนเริ่มมื้ออาหารเช้าได้เลย

Eye Openers แก้วนี้จะมีพริกเป็นส่วนผสมอยู่ด้วย เบิกเนตรด้วยความเผ็ด
หลังจากนั้นลุยกันไปดูอาหารเช้าเลย เริ่มจาก Signature Breakfast ของทางโรงแรมจะมี 4 เมนู แต่ละวันจะมี 2 เมนูให้เลือกหยิบไปกินได้เลย แต่พนักงานบอกว่า ถ้าต้องการจะกินให้ครบก็สั่งได้ โดยรวมอยู่ในอาหารเช้า ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มใดๆ สำหรับวันแรกเป็นไข่ดาวน้ำสูตรลับเฉพาะที่มีการนำเอาน้ำพริกอ่อง ผักชีและซอสฮอลแลนด์เดสมาผสมผสานกัน อีกรายการหนึ่งเป็นทาร์ตสูตรลับเฉพาะเป็นลาบบนขนมปังย่างสไตล์ล้านนา
สองเมนูซิกเนเจอร์ในเช้าวันแรกที่เข้าพัก
ลาบบนขนมปังย่างสไตล์ล้านนา
ไข่ดาวน้ำ น้ำพริกอ่อง ผักชีและซอสฮอลแลนด์เดส
 อาหารเช้าอีกวันเป็นอีก 2 เมนูซิกเนเจอร์ คือ  บรีโอชสูตรลับเฉพาะด้วยการนำขนมปังบรีโอชมาสอดไส้ไส้อั่วและชีส อีกรายการเป้นไข่ม้วนสูตรลับเฉพาะ ซึ่งก็คือไข่ยัดไส้หมูสับพร้อมมะเขือเทศและแตงกวา

อีก 2 รายการซิกเนเจอร์สำหรับอาหารเช้าอีกวันหนึ่ง
ไข่ม้วนสูตรลับเฉพาะ
ขนมปังบรีโอชไส้อั่วและชีส
ถ่ายให้เห็นระยะใกล้ ด้านในเป็นไส้อั่ว 
นอกจากนี้ยังมีอาหารที่น่าสนใจหลายรายการอยู่ในอาหารเช้าของเลอเมอริเดียน เชียงราย ลองมาดูกัน เริ่มจากไข่ออนเซ็น

ก๋วยเตี๋ยวน้ำโดยเลือกเส้นเองตามใจชอบ และมีลูกชิ้นไก่ หรือหมูให้เลือกตามต้องการ  นอกจากนี้ยังมีข้าวเหนียวหน้าสังขยา กล้วยปิ้ง ปาท่องโก๋นมข้น


กล้วยปิ้งก็มี
ข้าวเหนียวสองสีโปะหน้าด้วยสังขยา

สังขยามาเต็มถาด
ปาท่องโก๋ คู่กันกับนมข้น
สิ่งที่เห็นได้ชัดสำหรับอาหารเช้าของที่นี่คือ มีเครื่องดื่มบริการหลากหลายมาก โดยปกติอาหารเช้าตามโรงแรมจะบริการกาแฟ ชา แต่ที่นี่มีน้ำผลไม้ น้ำสมุนไพร สมูทตี้สารพัดชนิด และเครื่องดื่มประจำวันหรือเครื่องดื่มที่สามารถสั่งให้พนักงานชงให้ได้

น้ำผลไม้ น้ำสมุนไพร 
สมูทตี้ผลไม้ต่างๆ 
สมูทตี้ผลไม้สารพัดชนิด สีสันยั่วยวนมาก
Banana Pineapple Smoothie
ตกแต่งแก้วและนำเสนอสีสันได้สวยงาม
บริการเครื่องดื่มพิเศษประจำวันของวันนี้เป็นนมเย็น


มุมโยเกิร์ตก็มีให้เลือกหลากหลายรสชาติ ทั้ง Fat และ Low Fat



ความน่ารักและความใส่ใจอีกเรื่องของโรงแรมนี้คือ การเอาใจเด็กและครอบครัว ด้วยการมีจาน ถ้วย อุปกรณ์การกินสำหรับเด็กเล็กวางให้บริการกับบรรดาคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็ก เพื่อทำให้อาหารมื้อนี้มีสีสันมากขึ้นสำหรับเด็กๆ
ชุดจาน ถ้วย แก้ว ช้อนส้อม เพิ่มสีสันให้กับอาหารการกินสำหรับเด็กๆ 
หลังจากอิ่มอร่อยกับอาหารเช้าเดินออกมาก็พบกับบริการนวดผ่อนคลายให้กับลูกค้าของโรงแรมคนละ 5 นาที หรือพูดง่ายๆคือ การเชิญชวนให้ลูกค้าได้รู้จักบริการสปาของโรงแรม และเชื่อว่าลูกค้าหลายคนหลังจากนวดไป 5 นาที รับรอง ไม่พอ ต้องอยากนวดต่อแน่นอน เราก็เป็นหนึ่งในนั้น ก็เลยโทรศัพท์ไปจองเวลาและไปใช้บริการนวดไทยในช่วงสายๆ ของวันนั้น


พนักงานสปามาบริการนอกสถานที่

สำหรับบริการสปาของโรงแรมชื่อว่า  Parvati Spa โดยช่วงเดือนนี้ กรกฎาคมถึงกันยายนกำลังรีโนเวท ทางสปาจึงย้ายไปประจำการอยู่บนชั้น 4 ของอาคาร 4 ด้วยการปรับห้องพักบนชั้น 4 บางส่วนเป็นห้องสำหรับทำสปาและนวดไทยแทน ช่วงที่เข้าพักเดือนกรกฎาคม 62 ทางสปามีโปรโมชั่นน่าสนใจในราคาไม่แพงเว่อร์เหมือนสปาตามโรงแรมที่พบเห็น

เมื่อขึ้นไปที่ชั้น 4 ก็จะพบเคาน์เตอร์ด้านหน้าพร้อมมุมต้อนรับลูกค้า พร้อมชั้นดิสเพลย์ผลิตภัณฑ์สปา กลิ่นน้ำมันและขัดผิว วันนี้กะว่าจะมาใช้บริการนวดไทย 1 ชั่วโมง เพราะซื้อ Voucher มาจากงาน Go Go Travel ที่สยามพารากอนเมื่อช่วงต้นเดือนในราคา 888 บาท เมื่อมาถึงที่สปา เจอโปรโมชั่นนวดไทยและนวดเท้าแบบล้านนา 90 นาที ในราคา 1,099 บาท เพิ่มเงินอีกนิดหน่อยแต่ได้นวดเท้าเพิ่มอีก 30 นาที ก็เลยรู้สึกเสียดายในคูปองที่ซื้อไว้เพราะเพิ่มเงินก็ไม่ได้เพราะเงื่อนไขในคูปองระบุไว้ ก็เลยแอบเสียดายว่า เรามักจะเจออะไรที่ดีกว่าและถูกจริตมากกว่าเมื่อซื้อหรือจ่ายเงินไปก่อนแล้ว ลองมาดูห้องนวดหรือทำสปากัน
ป้ายแจ้งพิกัดของสปาอยู่ด้านบนเดินขึ้นบันไดไปได้เลย
ตัวอย่างกลิ่นน้ำมันและครีมขัดตัว




เมนูสปาและโปรโมชั่นต่างๆ
ราคาค่าบริการสปา
Welcome Drink ก่อนเข้ารับบริการนวดไทย
ห้องพักของโรงแรมถูกปรับเป็นห้องนวดสปาชั่วคราว

ขัดและทำความสะอาดเท้าก่อนขึ้นนวด
ขัดด้วยมะกรูดและเกลือ
ตกแต่งภายในห้อง
กลิ่นอโรม่าภายในห้องสปา
ตลอดการเข้าพัก 3 วัน 2 คืน สัมผัสได้ถึงความเอาใจใส่และจิตวิญญาณของการให้บริการของพนักงานทุกคน เดินผ่านพนักงานของโรงแรมทุกคนล้วนแล้วแต่ทักทายแขกที่เข้าพักอย่างเป็นกันเองและเป็นมิตร  เป็นอีกหนึ่งโรงแรมที่ให้บริการครบทุกอย่าง 

-ห้องอาหาร Latest Recipe ให้บริการอาหารเช้า อาหารกลางวัน(ช่วงเดือนกรกฎาคม มีโปรมา 4 จ่าย 3 ในราคา 388 บาทเน็ตต่อคน มาคนเดียวก็จ่าย 388 บาท ส่วนมื้อค่ำจะมีบุฟเฟ่ต์วันศุกร์ เสาร์ เน้นซีฟู้ด ส่วนวันอื่นๆ อาจให้บริการเป็นอาหารคอร์ส หรือ อะลาคาร์ท 

-ห้องอาหาร Favola เป็นห้องอาหารอิตาเลียนที่เปิดให้บริการมื้อเย็น เปิดเวลา 17.00 - 22.00 น. 

-ห้อง Latitude 19 เปิดตั้งแต่ 08.00 - 23.00 น. ให้บริการขนม เบเกอรี่ เค้ก ชา กาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ต่างๆ 

-ห้องสำหรับเด็กๆ 


-สระว่ายน้ำ 

-ฟิตเนสให้บริการ 24 ชั่วโมง อยู่ชั้น 2 เดินลงมา 1 ชั้นจากล๊อบบี้


-สปา Parvati สถานที่ชั่วคราวอยู่ที่ อาคาร 4 ชั้น 4 

ในวันเดินทางกลับ ได้สอบถามพนักงานเกี่ยวกับรถแท๊กซี่ไปสนามบินมีหรือไม่ พนักงานแจ้งว่าสามารถเรียกให้ได้ เราก็เลยตกลง เมื่อแท๊กซี่มาถึงคนขับก็แจ้งว่าค่าแท๊กซี่อัตรา 150 บาท เป็นราคาที่ทางโรงแรมฯได้ตกลงกันไว้กับบริษัทที่ให้บริการแท๊กซี่ในราคานี้ ก็ถือว่าอยู่ในราคาที่รับได้ ใช้เวลาเดินทางไปสนามบินแม่ฟ้าหลวงประมาณ 10 นาทีเหมือนเที่ยวมา

7 เรื่องที่ชวนตกหลุมรัก เลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท

1.ตกหลุมรักในบริการของพนักงานทุกคน ย้ำว่าทุกคน ตั้งแต่พนักงานที่ให้บริการบริเวณล๊อบบี้ พนักงานต้อนรับ พนักงานห้อง Latitude 19 ห้อง Latest Recipe ห้อง Favola / The Library พนักงานในส่วนของ Parvati Spa มี Service Mind สุดๆ เต็มที่กับการบริการ มีอัธยาศัยดี พูดคุยให้คำแนะนำอย่างเป็นกันเองและให้ความใส่ใจลูกค้า 

2.ตกหลุมรักห้องพักที่แสนสบาย ห้องพักที่นี่มีขนาดใหญ่ 53 ตารางเมตร และมีระเบียงกว้างขวางอีกด้วย ภายในห้องพักสัมผัสได้ถึงความสะอาดและไม่มีเสียงดังรบกวนจากห้องติดกัน โดยปกติบางโรงแรมจะได้ยินเสียงก้องกังวาลจากอีกห้องหนึ่งดังเข้ามาที่ห้องของเราบ้าง แต่ห้องพักที่นี่ไม่มีเลย ภายในห้องพักก็มีอุปกรณ์ครบครัน ลืมเอาแปรงสีฟันยาสีฟันมาก็มีให้ เสื้อผ้ายับก็มีเตารีด ที่รองรีดให้ มีน้ำดื่มให้ 4 ขวดภายในห้อง ทีวีจอใหญ่มาก อินเตอร์เน็ตใช้งานได้ดี ห้องน้ำแบ่งโซนอาบน้ำและอ่างอาบน้ำ อยากแช่น้ำอุ่นเพื่อความสบายตัวก็เชิญได้

3.ตกหลุมรักในพิ้นที่สีเขียวและธรรมชาติ ต้นไม้ภายในรีสอร์ทสวยงาม มีพื้นที่สำหรับเดินเล่น ยืดเส้นยืดสายเบาๆ ภายในรีสอร์ท มีต้นไม้ขนาดใหญ่อายุหลักร้อยปี คือ ต้นจามจุรี ชื่อ มะเมี๊ยะ และ สุขเกษม (เรื่องนี้มีตำนาน) 

4.ตกหลุมรักอาหารอิตาเลียนที่ห้อง Favola  ปกติไม่ค่อยได้ทานอาหารอิตาเลียนเท่าไหร่ มาสัมผัสอาหารที่นี่ อร่อย รสชาติดี ราคาอยู่ในระดับที่รับได้ แม้เมนูอาหารมีไม่มากมายนักแต่ก็มีความหลากหลายทั้ง ซุป สลัด พิซซา พาสต้า ราวีโอลี่ เป็นต้น 

5.ตกหลุมรักอาหารเช้า ที่ห้อง Latest Recipe ถือว่าจัดเต็ม มีความหลากหลายของอาหาร ทั้งอาหารพื้นเมือง(อาหารเหนือ) อเมริกันเบรคฟาสต์ รวมถึงมีเครื่องดื่มเย็นให้บริการ นอกเหนือจากกาแฟร้อนชาร้อน 

6.ตกหลุมรักสปา Parvati ราคาอยู่ในระดับที่รับได้ ไม่แพงเว่อร์เหมือนโรงแรมห้าดาวทั่วไป (อาจจะอยู่ในช่วงรีโนเวทสถานที่เลยมีการปรับราคา) การย้ายสปาไปอยู่ในห้องพักของโรงแรมก็ถือว่าเป็นการใช้สถานที่ห้องพักให้เกิดประโยชน์ และมีการจัดตกแต่งสถานที่ให้บรรยากาศสปาได้ดี

7.ตกหลุมรักการมีทางลาดสำหรับวีลแชร์ อันนี้ไม่ได้เอาใจตัวเอง แต่เหมาะสำหรับแขกที่มีญาติผู้ใหญ่ สูงวัย หรือใครก็ตามที่ต้องใช้วีลแชร์ ทางโรงแรมมีทางลาดและลิฟต์ในการเข้าถึงห้องพัก มีทางลาดในพื้นที่เชื่อมต่อต่างๆภายในโรงแรม  

ด้วยโรงแรมนี้อาจจะอยู่ห่างจากตัวเมือง (แต่ไม่มาก) ถ้าเช่ารถจะสะดวกในการเดินทางมาก ทางโรงแรมก็มีที่จอดรถสะดวกสบาย 

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าอยากสัมผัสประสบการณ์ที่กล่าวมา ก็เชิญได้นะครับที่เลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท  ENJOY ครับ