วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2563

CUISINE de GARDEN CHIANGMAI : แบรนด์แห่งศิลปะบนจานอาหารและแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ



มื่อช่วงต้นเดือนมีนาคม 2563 ได้มีโอกาสไปเชียงใหม่ ก็เลยได้แวะไปใช้บริการที่ร้านอาหาร Cuisine de Garden Chiangmai โดยรู้จักร้านนี้จาก Youtube ช่อง Eatguide จั่วหัวไว้ว่า ดินเนอร์สุดหรูในป่า แต่จะในคลิปจะเป็นการรีวิวของสาขาในกรุงเทพฯ ย่านเอกมัย และเปิดช่วงเย็นเท่านั้น โดยส่วนตัวอยากจะกินมื้อกลางวัน ก็เลยไปลองที่สาขา Original กันเลยที่เชียงใหม่



ถ้าท่านใดสนใจไปใช้บริการแนะนำให้จองไปก่อนล่วงหน้า ทางร้านจะสอบถามว่าแพ้อาหารหรือทานอะไรได้บ้างไม่ได้บ้าง ก่อนไปก็เลยทักไปทาง Inbox Facebook Fanpage ของสาขาเชียงใหม่ (เค้าแยกเพจกันนะครับ) ทางร้านตอบเร็วมาก และสอบถามว่าแพ้อาหารอะไร ปรากฏว่าตัวเองชนะทุกอย่าง ไม่แพ้ใดๆ ถ้าอาหารคอร์สใดเป็นเนื้อ แล้วถ้าเราไม่ทานเนื้อก็จะเปลี่ยนเป็น ปลา ให้

ในวันที่จองไว้ก็เรียก Grab จากโรงแรมแคนทารี่ ฮิลส์ นิมมานซอย 12 ไปยังร้านที่มีพิกัดอยู่แถวหางดง ดูจาก Google Map ได้ไม่ยากใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที ค่ารถประมาณเที่ยวละ  100 กว่าบาท ก็ตามเวลาที่ร้านเปิดพอดี เวลา 12.00 น. ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสาขาเชียงใหม่นะครับ ร้านเปิด 2 ช่วงเวลา 12.00-15.00 และ 18.00-22.00 น. หยุดวันจันทร์

ป้ายหน้าร้านระบุสาขาพร้อมปีที่เปิดให้บริการ

เนื่องจากในวันที่ไปใช้บริการน่าจะมีจองไปคนเดียว เมื่อเดินเข้าไปพนักงานให้เลือกนั่งได้เลย จะนั่งเป็นโต๊ะหรือนั่งตรงเคาน์เตอร์บาร์ก็ได้ ข้อดีของการนั่งตรงเคาน์เตอร์บาร์จะได้เห็นเชฟเตรียมอาหาร จัดจานงานศิลป์อย่างปราณีตบรรจง ตอนแรกกะว่าจะนั่งที่โต๊ะ ปรากฏว่าอยากรู้กระบวนการกว่าจะมาเป็นอาหาร 1 จาน เค้าจัดกันยังไง ก็เลยย้ายไปนั่งเคาน์เตอร์  จะบอกว่ามื้อเที่ยงวันนั้นเป็นซุปเปอร์วีไอพีมากๆ ทุกคนโหมกระหน่ำให้บริการสุดพิเศษจริงๆ เชฟและพนักงานทุกคนของร้านน่ารักมาก ให้ข้อมูล บอกเล่าเรื่องราวของอาหารแต่ละจาน กินไปละเลียดกับเรื่องราวไป 

ก่อนจะไปเริ่มต้นชมอาหารกัน  ลองไปดูบรรยากาศภายในร้านกันก่อน  ภายในร้านตกแต่งแบบเรียบง่ายไม่เยอะ ไม่เวิ่น ร้านนี้อยู่ในมิชลินไกด์ 2020 ต้องรีบมากิน เดี๋ยวได้มิชลินแล้วจะต้องจองคิวและรอคิวนานนะ

บริเวณโซนที่เป็นโต๊ะนั่งปกติ

อีกฝั่งตรงกันข้ามกัน


อีกฟากของร้านมาเป็นกลุ่มๆ



บริเวณเคาน์เตอร์บาร์ที่จะมีเชฟจัดเรียงอาหาร
ทางร้านจะวางรายการเซ็ตเมนู Summer Spirit หรืออาหารชุดฤดูร้อนที่มีทั้งหมด 10 คอร์สไว้ให้อ่านก่อน (ราคาเซ็ตละ 1,590++ บาท) อาหารแทบทุกคอร์สของร้านนี้จะเน้นแนวธรรมชาติ หรืออีกนัยยะก็แนวสุขภาพแต่รับประกันความอร่อยอย่างแน่นอน สำหรับเครื่องดื่มก็มีไวน์ ถ้าไม่ประสงค์ดื่มแอลกอฮอล์ก็มีน้ำดื่ม หรือ คอมบูชะ(ชาหมัก) ก็มีให้บริการ แต่ในวันนั้นพนักงานนำเสนอ น้ำตาลสด ก็เลยบอกให้จัดมาเลย

รายการอาหารแต่ละคอร์ส

ชุดช้อน ส้อม มีด พร้อม

รายการไวน์ลิสต์ เครื่องดื่มต่างๆ 

จัดวางอย่างเป็นระเบียบและเรียบง่าย

สั่งน้ำดื่มมาประเดิมก่อน ตามด้วยน้ำตาลสด

เริ่มต้นจากเชฟตระเตรียมอาหารเรียกน้ำย่อยจานแรกประกอบด้วย 3 คำ ก็เลยนั่งดื่มน้ำตาลสดควบคู่กับการชมการจัดจาน เตรียมอาหารของเชฟ

นั่งชมการเตรียมอาหาร

คอร์สที่ 1 เรียกว่า Amuse Bouche หรือของว่างขนาดพอดีคำทำหน้าที่ในการเรียกน้ำย่อย ประกอบด้วย 3 อย่าง หรือ 3 คำ

เริ่มต้นด้วยเมนูเรียกน้ำย่อย 3 คำ 

เริ่มจาก คำที่ 1 เป็นเนื้อที่มีการหั่นละเอียดรองด้วยแผ่นกรอบทำจากข้าว


คำที่ 2 ด้านล่างเป็นมะยงชิดและเนื้อปลาบึกอยู่ด้านบน เชฟแนะนำให้ทานทั้งคำจะได้รสสัมผัสของความสดชื่นของมะยงชิดทานทั้งเปลือกได้เลยและได้เนื้อสัมผัสของปลา


คำที่ 3 เป็นวุ้นด้านในเป็นมะยงชิด



ทั้ง 3 คำเป็นตัวเรียกน้ำย่อย ก่อนนำไปสู่จานแรก เมื่อเสิร์ฟคอร์ส 1 เรียบร้อย เชฟก็จะเตรียมรายการต่อไป
เริ่มเตรียมจานที่สอง


คอร์ส 2 ในเมนูระบุว่า Tiny Shrimp and Pineapple ในเพจของร้านเค้าเรียกว่า กุ้งกรุ๊บกริ๊บ มาจากกุ้งเต้น ใช้กุ้งฝอย เสิร์ฟมาพร้อมกับสับปะรดภูแลซึ่งเป็นฤดูกาลพอดี ผักชีสามอย่าง หอมแดง ตะไคร้ พริก และส้มจี๊ดเพื่อเพิ่มความเปรี้ยวก่อนทานเชฟแนะนำให้นำผักสมุนไพรทั้งหมดเทลงในถ้วยที่มีกุ้งฝอย จากนั้นก็เขย่าไฮโล เอ๊ย เขย่าส่วนผสมเพื่อให้ทุกส่วนเข้ากันผสมกัน อร่อย ครบทุกรสชาติ ไม่ต้องกลัวเผ็ด ไม่เผ็ดเลย แค่สีของพริกอาจจะดูโหดเท่านั้นเอง
 
เมนูยำก็มา ด้านบนเป็นการจัดเรียงผักซอย ผลไม้ซอย

เปิดมาด้านในเป็นกุ้งฝอย

เชฟแนะนำให้ บีบส้มจี๊ดใส่ลงไปในถ้วย แล้วนำผักผลไม้ที่จัดเรียงอยู่บนฝา เทใส่กุ้งฝอยในถ้วยแล้วปิดฝา เขย่า เชค เชค ให้เข้ากัน ก็จะได้เมนูคล้ายๆยำ ก็ยำนั่นแหละ มาหนึ่งเมนู

เมื่อผัก ผลไม้และส้มจี๊ดลงไปรวมกันก็จัดการเขย่า เชค เชค 

ทุกอย่างลงตัว กลมกล่อม อร่อย


ในแต่ละเมนูหรือแต่ละคอร์ส พนักงานจะบอกเล่าเรื่องราวแต่ละจานให้ฟัง เช่น วัตถุดิบแต่ละอย่างมาจากไหน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะใช้วัตถุดิบจากละแวกภาคเหนือ แล้วยังเป็นการช่วยชาวไร่ชาวสวนอีกด้วย 

คอร์ส 3 Frog Leg and Summer Citrus หรือ อ๊บๆ เป็นขากบที่มีขนาดใหญ่จากสันทราย แล้วนำมาทำเป็นน่องไก่เพื่อไม่ให้ลูกค้ารู้สึกในความเป็นกบ เพราะลูกค้าบางคนไม่ประสงค์จะเห็นสภาพ "กบ" เท่าไหร่ ก็เลยใช้การแปรสภาพมาทดแทน วางบนซอสครีมที่เนียน และประดับด้วยมะนาวนิ้วมือ หรือ Finger Lime ที่มีรูปลักษณ์คล้ายคาเวียร์ และทางพนักงานก็นำ Finger Lime ที่มีรูปทรงคล้ายนิ้วมาให้ดู ราคาค่อนข้างสูง กิโลกรัมละ 3,000บาท จานนี้ก็เช่นกันอร่อยและเข้ากันแบบนัวๆ ลองมาดูการเตรียมจานนี้กัน

เริ่มจัดเรียง จัดวางองค์ประกอบศิลป์

พิถีพิถันละเมียดสุดสุด

จัดวางทีละชิ้น แต่เวลากินหมดอย่างรวดเร็ว

เนื้อกบและขากบที่ถูกออกแบบให้แปรสภาพเป็นเหมือนน่องไก่

มีการตัดกันของสีสันในจานเดียว
 
ผ่าให้เห็นด้านในให้ชมกันมีทั้งเนื้อกบสับและขากบที่รวมกันอยู่

มะนาวนิ้วมือหรือ Finger Lime ที่ทางเชฟนำมาให้ชื่นชม

บีบออกมาด้านในจะละม้ายคล้ายคาเวียร์

คอร์ส 4 Fermented Fish Tart Tartin หรือทาร์ตปลาส้ม มีการใช้ดอกไม้ตกแต่งบนตัวทาร์ต และใช้มะละกอ เป็นเมนูของคาวที่ให้รสสัมผัสของอาหารหวาน #มันอธิบายไม่ถูกต้องมาลอง

จัดเรียงทาร์ตปลาส้ม


งานละเอียดต้องมา

ประกอบร่างเสร็จเรียบร้อยเป็นทาร์ตปลาส้ม

คอร์ส 5 ปลาๆ หรือ Buk Siam Fish and Pickled Tomato เป็นปลาบึกนึ่งกับยำมะเขือเทศดอง ราดด้วยน้ำซอสแบบชุ่มฉ่ำ ทานพร้อมกับผัดทอดกรอบ เนื้อปลาดีงามมาก

จานต่อไปเป็นปลาบึก


เสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำราดที่อร่อยมากและเข้ากัน

ราดก่อนรับประทาน


คอร์ส 6 The Nest (Free Range Chicken and Onzen Egg) เป็นเมนูอมตะนิรันดร์กาลของที่ร้านนี้เลย ด้านล่างเป็นเนื้ออกไก่ฉ่ำด้วยซอส จากนั้นก็เป็นส่วนของเส้นหมี่กรอบ และไข่ไก่ออนเซนที่วางมาบนเส้นหมี่กรอบ เชฟบอกว่า ให้ตอกไข่จากนั้นก็นำไข่ที่ตอกวางลงไปในตัวเส้นหมี่กรอบ ทานร่วมกันทั้งหมด หลังจากทานเสร็จควรเป็นเมนูในตำนานและตลอดกาลไปเลย

เริ่มจากนำเนิ้ออกไก่ที่หั่นเป็นชิ้นเล็กมาจัดวาง


วางซ้อนด้วยเส้นหมี่กรอบ

ตามด้วยไข่ไก่ออแกนิคแบบออนเซน

พร้อมเสิร์ฟ

จากนั้นก็เริ่มตอกไข่

ตอกเรียบร้อยก็วางบนเส้นหมี่กรอบ เวลาทานก็ให้จัดพร้อมกัน 3 อย่าง

ทางร้านเตรียมรังไว้ให้วางเปลือกไข่ด้วย
คอร์ส 7 ปิ้งx2 หรือ Grilled Beef and Fermented Soy Bean Variation เป็นจานที่ค่อนข้างหนักหน่วงเพราะมีข้าวห่อใบตองแล้วนำไปปิ้ง อีกหนึ่งปิ้งก็คือเนื้อที่ผ่านการดรายเอจ 30วัน กินกับซอสถั่วเน่า และมีน้ำซุปปลาแห้งร้อนๆ เสิร์ฟมาด้วยเพื่อความคล่องคอ

จานนี้พรีเซนเทชั่นจะมาพร้อมกับกระบอกไม้ไผ่

Add caption

ข้าวเสิร์ฟมาในใบตอง

ซอสถั่วเน่าไว้ราดเนื้อย่าง

น้ำซุปปลาแห้งร้อนๆ พร้อมผักปรัง

เปิดใบตองมาก็เป็นข้าวร้อนๆ น่าทานเป็นที่สุด

พร้อม

ราดซอสถั่วเน่าลงบนตัวเนื้อ

เป็นการจบคอร์สที่เป็นของคาวเรียบร้อย เรามาต่อกันที่รายการของหวาน

คอร์ส 8 เป็นเมนูล้างปาก Granita of Seasonal Fruit ก็คือกรานิต้าที่เสิร์ฟมาพร้อมกับมะเดื่อและชีสสด และมีรสเผ็ดจากน้ำพริกลาบด้วย ให้ความรู้สึกสดชื่นและเบิกเนตรไปพร้อมๆ กัน จานนี้เป็นมะเดื่อที่อร่อยมาก

เชฟเตรียมเมนูถัดไป



คอร์ส 9 Banana Custard and Ice Cream เป็นไอศกรีมกล้วยปิ้งโรยด้วยงาขี้ม่อน เสิร์ฟมาคู่กับคัสตาร์ดกล้วยน้ำว้า รสชาติเข้ากันอย่างลงตัว จะแยกกินหรือกินร่วมกันก็ได้ แล้วแต่จะพอใจ

ของหวานจานถัดไปคือไอศกรีมกล้วยปิ้งเสิร์ฟมาพร้อมคัสตาร์ดกล้วยน้ำว้า



ไอศกรีมกล้วยปิ้งโรยด้วยงาขี้ม่อน

คัสตาร์ดกล้วยน้ำว้า 

เสิร์ฟมาพร้อมดอกไม้กินได้
คอร์ส 10 และ 11 เป็น Petit Fours เป็นการปิดท้ายเซ็ต Summer Spirit อย่างสวยงามด้วยขนม พร้อมกับ #เมนูหินกินได้ อันนี้เก๋มาก มีลูกเล่น แต่หินกินได้แค่ก้อนเดียวนะครับ ที่เหลือถ้ากัดเข้าไปฟันอาจบรรลัยได้ และอีกหนึ่งรายการที่มาคู่กันคือเครื่องดื่มร้อนที่มีส่วนผสมของมิ้นท์สารพัดชนิดและใบเตย มีความเข้ากันกับขนม





ก้อนหินก้อนไหนกินได้ลองทายกันซิ

เครื่องดื่มมิ้นท์ผสมกับใบเตย อร่อยดี


ขอเฉลยก้อนหินกินได้ จะเป็นก้อนที่ลูกศรชี้อยู่ จะนวลเนียนกว่าก้อนอื่น


จากประสบการณ์ที่ได้ไปสัมผัสร้านอาหารแห่งนี้ประทับใจทั้งอาหาร การบริการ รวมถึงเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ในทุกจาน แต่น้องๆที่ร้านบอกว่า ถ้าไปใช้บริการที่สาขาเอกมัย (กรุงเทพฯ) ก็จะได้อีกบรรยากาศหนึ่ง แต่จุดร่วมที่น่าจะเหมือนกันก็คือ Nature Inspired นั่นเอง