วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2561

THE SLATE โรงแรมนี้มีแบรนด์ ดินแดนนี้มีสตอรี่


คำเตือน เนื้อหาในบทความนี้ยาวมาก โปรดคิดให้ดีก่อนอ่าน 

ในยุค 4.0 การค้นหาอะไรสักอย่างในโลกนี้เป็นเรื่องง่ายดายมาก เพราะเราสามารถค้นหา อ่านรีวิว ท่องไปในโลกประสบการณ์ของคนอื่นได้ด้วยปลายนิ้วคลิก ไม่ว่าจะเป็นอ่านความเห็นของผู้คนที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การอ่านบล๊อกต่างๆ การชมวิดีโอ เปิดดูเว็บไซต์ เป็นต้น

เมื่อเดือนตุลาคมผมวางแผนไปพักผ่อนที่จังหวัดภูเก็ต และได้มีโอกาสไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งที่เพิ่งรู้จักจากโลกออนไลน์ก่อนหน้านั้นประมาณ 1 เดือนด้่วยการค้นหาและเจอใน Google จากนั้นก็หาข้อมูลของโรงแรมนั้นอย่างจริงจังผ่านประสบการณ์การเข้าพักของคนอื่น ก็เลยตัดสินใจที่จะจองโรงแรมนี้

โรงแรมแห่งนี้ชื่อว่า THE SLATE ในอดีตชื่อว่า Indigo Pearl เนื่องจากมีการรีแบรนด์ใหม่ และยัง The Slate ยังเป็นหนึ่งในสมาชิกของ Design Hotel  ผมจึงเข้าไปในเว็บไซต์ของโรงแรมก็ได้เห็นสไตล์การออกแบบเว็บไซต์ที่มีเอกลักษณ์และสไตล์ของแบรนด์ https://www.theslatephuket.com/

หน้าเว็บไซต์ของโรงแรม THE SLATE

โรงแรม The Slate Phuket ตอนเปิดใหม่ๆ ใช้ชื่อว่า The Pearl Village ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงสไตล์ของโรงแรมจากแนว Traditional ไปสู่แนวร่วมสมัย (Contemporary) โดยมี บิล เบนสลีย์ ทำหน้าที่ในการปรับโฉมด้วยการออกแบบโรงแรมแห่งนี้ใหม่ โดยเจ้าของได้บอกกับทาง บิล เบนสลีย์ ถึง 3 สิ่งหลักที่ยังคงต้องมีไว้ คือ
1.ยังคงต้องสะท้อนถึงความเป็นภูเก็ต
2.ยังต้องเป็นโรงแรมสีเขียว
3.เมื่อลูกค้าเข้ามาพักแล้วต้องให้ความรู้สึกเหมือนบ้าน

โดยคอนเส็ปท์หลักที่ยังสะท้อนความเป็นภูเก็ตได้เป็นอย่างดีคือ เหมืองแร่ดีบุก และ วิถีชีวิตดั้งเดิม ประกอบกับ Passion ของเจ้าของโรงแรมแห่งนี้ต้องการผสมผสานดีไซน์ แฟชั่น และศิลปะเข้าด้วยกันนและอุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่ภายในโรงแรมก็เน้นสร้างขึ้นมาใหม่แบบเฉพาะ แล้วโรงแรมนี้ก็เปลี่ยนชื่อเป็น Indigo Pearl ในปี 2007  โดยบอกเล่าเรื่องราวของภูเก็ตผ่านอุตสาหกรรมเหมืองแร่ และเป็นแบรนด์ธุรกิจบริการและวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ รีสอร์ทแนวอินดัสเตรียลกลายมาเป็นงานออกแบบที่ดูสวยงามแบบดิบๆ เน้นดีไซน์และดูหรู หรือจะเรียกว่า An Avant-Garde Expression หรือแนวล้ำยุคก็ว่าได้

จากการเข้าไปท่องเว็บไซต์ของทางโรงแรมก็พบว่า กลุ่มเป้าหมายหลักๆของโรงแรมแห่งนี้ต้องเป็นชาวต่างชาติอย่างแน่นอนด้วยรูปแบบการออกแบบเว็บไซต์ ภาพบรรยากาศของโรงแรมน่าจะถูกจริตกับชาวต่างชาติ ประกอบกับภาษาที่ใช้ในเว็บก็เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด  แต่ก็ไปเจอโปรโมชั่นสำหรับ Thai Resident ในช่วงโลว์ซีซั่น ก็เลยตัดสินใจเลือกห้องพัก D-Buk Suite ในราคาคืนละ 4,200 บาท โดยราคานี้รวมอาหารเช้าสำหรับ 2 คน และในแพคเกจนี้รวมรถรับส่งฟรี และให้สิทธิ์ส่วนลด 30% สำหรับสปา และส่วนลด 10% สำหรับอาหารและเครื่องดื่มสำหรับทุกร้านอาหารในโรงแรม

บริเวณป้ายด้านหน้าทางเข้าโรงแรม
โรงแรม The Slate ตั้งอยู่ที่หาดในยาง จะเรียกว่าติดหาดก็ได้ เพียงแต่ต้องข้ามถนนเล็กๆไปนิดเดียว และโรงแรมนี้ห่างจากสนามบินนานาชาติภูเก็ตประมาณ 5 กิโลเมตร โรงแรมแห่งนี้อยู่บนเนื้อที่ 80 ไร่ และมีเจ้าของเป็นคนไทย ตระกูล ณ ระนอง

ทางเข้าโรงแรมไปยังล๊อบบี้
ถนนเข้าสู่ล๊อบบี้โรงแรมกว้างขวางพอสมควร ทางเข้าโรงแรมก็เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวรายล้อม จากหน้าโรงแรมไปถึงล๊อบบี้ไม่ไกลมากเมื่อเลี้ยวเข้ามาฝั่งซ้ายจะเป็น COQOON SPA ซึ่งจะกล่าวถึงในช่วงท้ายๆ รีบไปเช็คอินกันก่อนเลย

ผมเดินทางไปถึงโรงแรมเวลา 12.00 น.  รถเข้าไปจอดบริเวณด้านหน้าของล๊อบบี้ พนักงานก็มายกสัมภาระไปเก็บไว้ให้ก่อน จากนั้นพนักงานก็เชิญผมไปนั่งบริเวณล๊อบบี้เพื่อรอเช็คอิน เมื่อนั่งรอสักครู่ พนักงานก็นำ Welcome Drink น้ำสับปะรด พร้อมกับผ้าเย็นมาให้ ผ้าเย็นจะมีกลิ่นหอมของดอกจำปีซึ่งทางโรงแรมเรียกว่ากลิ่นจำปาก้า ซึ่งเป็น Signature ของโรงแรมแห่งนี้

บริเวณเคาน์เตอร์ RECEPTION ของโรงแรม

Welcome Drink ที่มาพร้อมกับผ้าเย็นกลิ่นจำปาก้า





หลังจากนั้นพนักงานนำเอกสารทั้งหมดมาให้เขียนและเซ็นชื่อเป็นอันเสร็จขั้นตอนของการเช็คอิน พร้อมกับมอบคีย์การ์ดไว้ให้ 2 ใบ และพาผมไปยังห้องพัก

คีย์การ์ดห้องพัก
ซองใส่คีย์การ์ดก็มีข้อความว่า Welcome to the Surreal World เพือเป็นการบอกถึงประสบการณ์ต่างๆที่จะได้พบในโรงแรมแห่งนี้จะดูล้ำๆ และเหนือจินตนาการ เริ่มมีอะไรน่าค้นหากันแล้ว

The Slate News
แผนที่ภายในโรงแรม

รายละเอียดบริการต่างๆในโรงแรมพร้อมโปรโมชั่น
นอกจากนี้พนักงานได้มอบ The Slate News เป็นเสมือนข่าวสารของโรงแรมฉบับเดือนตุลาคม 2018 ในแผ่นพับนี้จะมีโปรโมชั่นของห้องอาหาร บาร์เครื่องดื่มต่างๆ รวมถึงกิจกรรมของทางโรงแรม และที่สำคัญคือ แผนที่ภายในเนื้อที่ 80 กว่าไร่

สำหรับการเข้าพักครั้งนี้ทางโรงแรมได้อัพเกรดห้องพักจากห้อง D-Buk Suite ไปเป็น Pearl Bed Suite โดยห้องอยู่ตึก B ห้อง 1207 (ชั้น 2) ระยะห่างระหว่างล๊อบบี้กับห้องพักที่อยู่ตึก B ไม่ไกลมากนัก ในส่วนของกระเป๋าสัมภาระพนักงานจะนำมาส่งให้ โดยให้เราเดินตัวปลิวไปห้องพักก่อนได้เลย

ป้ายบอกทางภายในโรงแรม
ตลอดทางที่เดินไปห้องพัก จะมีป้ายโลหะสีสนิมบอกทางไปสถานที่ต่างๆภายในโรงแรม รวมถึงตึกห้องพักต่างๆ ป้ายสไตล์แบบนี้เราจะเห็นทั้งโรงแรม

ป้ายบอกทางไปห้องพักสำหรับแขกที่เข้าพัก
รวมถึงป้ายบอกเลขห้องพัก เลขอาคารก็เป็นสไตล์เดียวกันหมด
ประตูห้อง

ประตูห้องพักที่มีสไตล์เดียวกันทุกห้อง
เมื่อมาถึงห้องพัก ก็พบกับประตูห้องพักที่มี Texture ของโลหะและให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในเหมืองแร่ซึ่งเป็นการนำเสนอเรื่องราวของเหมืองแร่ดีบุกที่เป็นประวัติศาสตร์สำคัญหนึ่งของจังหวัดภูเก็ต

ห้องแบบ Pearl Bed Suite มีขนาด 65 ตารางเมตร ภายในห้องพักแบบ Pearl Bed Suite ให้ความสำคัญกับรายละเอียดต่างๆที่น่าสนใจ ทั้งงานศิลปะ สไตล์การออกแบบ ห้องที่ตกแต่งด้วยไม้ โลหะ อย่างเปิดประตูมาก็เจอโต๊ะเล็กๆ สำหรับวางของก็มีสไตล์เหล็กๆ
เปิดประตูเข้ามาก็เจอโต๊ะสำหรับวางของ
ด้านหลังประตูก็มีถุงผ้าแขวนไว้พร้อมสกรีนข้อความว่า D.N.D (Do Not Disturb) อีกด้านก็เป็น M.A.I.D เพื่อแจ้งให้แม่บ้านทำความสะอาดบ้าน

D.N.D. Do Not Disturb สำหรับแขวนไว้หน้าห้องเมื่อต้องการความส่วนตัว

เรียกแม่บ้านทำความสะอาดด้วยถุงนี้ได้เลย

เมื่อเข้ามาภายในห้องก็จะมีโต๊ะมินิบาร์ พร้อมชั้นวางแก้ว แก้วที่วางอยู่บนชั้นก็เป็นโทนสีน้ำเงินคราม ส่วนด้านล่างก็เป็นตู้เย็น

Mini Bar และบริการชากาแฟฟรี
บริเวณใกล้ๆกับโซนมินิบาร์จะเป็นห้องแต่งตัว พร้อมตู้เซฟนิรภัย ร่ม และที่วางกระเป๋า พร้อมไม้แขวนเสื้อสารพัดแบบ
ห้องสำหรับแต่งตัว
ตู้เซฟ / Bathrobe / ไม้แขวนเสื้อและร่ม 
สำหรับโซนห้องนอน ด้านหลังของเตียงก็จะมีพื้นหลังเป็นไม้ ลายเส้นบนผ้าปูที่นอนและหมอนก็จะเป็นลายเส้นที่โรงแรมใช้ให้สอดคล้องกับงานออกแบบทั้งหลาย

เตียงนอนแบบ Double Bed


โต๊ะข้างเตียงก็จะมีอุปกรณ์ฟังเพลง รีโมททีวี พร้อมป้ายบอกเลขช่องโทรทัศน์ ส่วนด้านหลังของป้ายจะมีราคาสินค้าหากลูกค้าต้องการซื้อสินค้าภายในห้องพักกลับไปเป็นที่ระลึก




บริเวณปลายเตียงก็มีทีวีพร้อม Blue Hand วางตกแต่งไว้
ถัดจากเตียงนอนมาก็จะเป็นโต๊ะเก้าอี้รับแขก


ภายในห้องจะมีภาพวาด งานศิลปะแขวนอยู่ตามผนังทุกๆส่วนของห้องพัก





ต่อไปก็เป็นโซนห้องน้ำซึ่งมีพื้นที่พอๆกับส่วนห้องนอน เข้ามาก็เจออ่างอาบน้ำสีดำขนาด Oversize บางห้องอ่างอาบน้ำอยู่ด้านนอกบางห้องอยู่ด้านในห้อง





อีกมุมหนึ่งของห้องน้ำก็จะเป็นโซนห้องน้ำ ซึ่งมีการตกแต่งสไตล์เหล็กๆ เช่นกัน พร้อมดีไซน์ของขวดใส่ชาวเวอร์เจล แชมพูและคอนดิชันเนอร์ ก็เป็นขวดโลหะที่มีดีไซน์ โดยขวดเหล่านี้หากลูกค้าที่เข้าพักอยากจะได้เป็นที่ระลึกก็มีขายที่ Retail Shop ของโรงแรมหรือเรียกว่า Stock Room ซึ่งอยู่บริเวณล๊อบบี้ของโรงแรม





สำหรับขวดใส่ชาวเวอร์เจล แชมพู คอนดิชันเนอร์ รวมถึงบอดี้โลชั่น เมื่อก่อนจะเป็นขวดสีดำ แต่รุ่นใหม่จะเป็นสีเงิน(โลหะ) ชาวเวอร์เจลในขวดก็จะเป็นกลิ่นจำปาก้าหรือดอกจำปีที่เป็น Signature ของทางโรงแรม สำหรับแชมพูและคอนดิชันเนอร์จะเป็นกลิ่นมะลิ ซึ่งทุกผลิตภัณฑ์มีจำหน่ายสำหรับลูกค้าที่สนใจเช่นกัน


นอกจากนี้ยังมีซองสีเงินวางไว้ให้ด้วยด้านในเป็นสบู่กลิ่นจำปาก้าเช่นกัน
ผ้าขนหนูถูกแขวนไว้ในถุงผ้า

วิธีพรีเซนเทชั่นหรือการจัดวางผ้าขนหนู ผ้าเช็ดตัวก็ม้วนใส่ไว้ในถุงผ้าและแขวนไว้

ภายในบริเวณโซนห้องน้ำก็จะมีโต๊ะยาวสำหรับแต่งตัวหรืออาจจะเอาไว้นั่งทำงานก็ได้เช่นกัน และด้านในของโต๊ะก็จะเป็นอ่างล้างหน้ามี 2 อ่างพร้อมกับที่ใส่กระดาษทิชชูที่ทำจากเรซิ่นและมีตัวน๊อตอยู่ด้านในตามสไตล์เหมืองๆ หรือโรงงานอุตสาหกรรม

บริเวณโต๊ะสำหรับแต่งตัวหรือไว้นั่งทำงานก็ได้
บนโต๊ะมีแฟ้มที่มีป้ายเหล็กพิมพ์ชื่อโรงแรม THE SLATE ไว้ในเล่มเป็นการบอกเล่าเรื่องราวประวัติของโรงแรมตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน และมีข้อมูลของโรงแรมต่างๆที่แขกเข้าพักสามารถไปใช้บริการได้

สมุดบอกเล่าประวัติโรงแรมและบริการต่างๆของโรงแรม
ถัดมาเป็นกล่องเหล็กสำหรับใส่กระดาษจดหมาย ซองจดหมาย พร้อมดินสอ โดยฝากล่องเหล็กเป็นรูปประแจไขว้กันและเจาะโปร่งเพื่อให้เห็นของข้างใน

ด้านในของกล่องเหล็กที่บรรจุกระดาษ ซองจดหมายของโรงแรม
หนังสืออีกเล่มที่ถูกจัดวางไว้เป็นเรื่องราวของงานออกแบบของ บิลล์ เบนสลีย์ กับงานออกแบบโรงแรมในประเทศไทย รวมถึงโรงแรม THE SLATE นี้ด้วย สำหรับผู้เข้าพักที่ต้องการเรียนรู้เรื่องราวของโรงแรมและนักออกแบบชาวอเมริกันท่านนี้
หนังสือที่กล่าวถึงดีไซน์โฮเต็ลของบิลล์ เบนสลีย์ นักออกแบบชาวอเมริกัน 
ข้างๆหนังสือและแฟ้ม มีไดร์เป่าผมบรรจุอยู่ในถุงผ้าและเขียนด้านหน้าว่า H.A.I.R. เป็นการใช้ถุงผ้าสกรีนเหมือนกับป้ายสำหรับแขวนประตูหน้าห้อง


ของประดับต่างๆภายในห้องก็จะมีสไตล์ไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟที่ห้อยลงมาจากเพดาน กระจกบนแท่นเหล็ก Blue Hand สำหรับวางโชว์ในห้อง



บนโต๊ะจะมี Aroma Oil Burner และมีน้ำมันกลิ่นดอกจำปี (กลิ่นจำปาก้า) วางเพื่อสร้างบรรยากาศด้วยกลิ่นให้หอมอบอวลในห้องพัก

บริเวณอ่างล้างมือก็จะมีถาดที่เรียกว่าขันโตกทำด้วยเหล็กวางผ้าขนหนูสำหรับเช็ดหน้า และมีกล่องเรซิ่นที่ฝามีน๊อต สกรูจัดเรียงไว้ด้านใน กล่องเล็กใส่สำลี คัตตอบบัด กล่องใหญ่สำหรับใส่กระดาษทิชชู และสบู่กลิ่นเอกลักษณ์บรรจุในซองฟลอยด์วางไว้ให้

ของใช้สำหรับล้างหน้า

กล่องที่ทำด้วยเรซิ่นสำหรับใส่ทิชชูและสำลี

ซองฟลอยด์บรรจุสบู่กลิ่น Signature ของทางโรงแรม

ขวด Body Lotion วางอยู่บนถาดขันโตกเหล็กใกล้ๆอ่างล้างหน้า

ข้างๆอ่างล้างหน้ามีน้ำดื่มขวดเล็กพร้อมแก้วน้ำสีครามวางไว้ให้ด้วย วางไว้อ่างละ 1 ชุด

ขวดน้ำดื่มพร้อมแก้วสี Indigo 

และอีกส่วนหนึ่งก็เป็นห้องส้วมที่แยกไว้เป็นสัดส่วนโดยมีผ้าม่านปิดได้ สไตล์การตกแต่งด้านหลังก็จะเป็นไม้เช่นกัน

ย้อนกลับไปดูตรงระเบียงกันบ้าง สำหรับห้อง Pearl Bed Suite จะมีระเบียง 2 ด้าน ด้านแรกอยู่ฝั่งห้องนอน จะมีโต๊ะ เก้าอี้ริมระเบียง
ระเบียงห้องมีโต๊ะเก้าอี้จัดวางไว้ให้


บริเวณพื้นระบียงมีที่วางยากันยุงแบบเก๋ๆ ไว้ด้วย บนโต๊ะก็มีที่เขี่ยบุหรี่
ที่ใส่ยากันยุง

ที่เขี่ยบุหรี่

บริเวณผนังระเบียงก็มีงานศิลปะที่เรียกว่า Star Metal Wall Art ทำด้วยเหล็กติดโชว์ไว้ที่ผนัง

ส่วนระเบียงอีกด้านจะอยู่ฝั่งห้องน้ำ จะมีเก้าอี้นั่งริมระเบียง  วิวจากระเบียงห้องนี้มองออกไปก็จะเต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวและมองเลยไปก็จะเป็นสระว่ายน้ำ


จากนั้นลองเดินสำรวจรอบๆโรงแรมก็จะพบว่ามีของใช้ ของโชว์ทั่วบริเวณโรงแรมที่สร้างบรรยากาศเหมืองๆ เกือบทั้งหมด ลองไปดูกันครับ เริ่มจากใกล้ๆ Lobby จะมีเครื่องปั่นไฟในเหมือง นำทีวีจัดวางเข้าไปกลายเป็นดีไซน์เก๋ๆไปอีกแบบ
เครื่องปั่นไฟในเหมืองแร่

มีการนำจอทีวีมาจัดวางไว้เพื่อเปิดวิดีโอบริการต่างๆของทางโรงแรม
เมื่อเดินมาบริเวณสระว่ายน้ำก็พบกับที่อาบน้ำซึ่งใช้งานได้จริงไม่ใช่แค่โชว์เท่านั้น

Rain Shower สไตล์อุตสาหกรรมให้แขกล้างตัวก่อนลงสระว่ายน้ำ
โซนนี้จะเป็นสระว่ายน้ำสำหรับครอบครัว เด็กๆลงเล่นได้
สระว่ายน้ำ




งานศิลปะโลหะที่จัดวางตกแต่งอยู่รอบๆโรงแรม


โซนนี้เรียกว่า Coliseum Garden and Stage  เป็นโลเคชั่นที่เหมาะกับโพสต์ถ่ายรูป ถ่ายแบบ เดินแบบได้เลย แต่ทางโรงแรมน่าจะเคยใช้จัดงานแต่งงาน พื้นที่ในโซนนี้น่าจะเป็นโซนพื้นที่สีเขียวของโรงแรมที่ค่อนข้างเป็นลานโล่งไว้สำหรับจัดงานเลี้ยงต่างๆ ได้
พื้นที่บริเวณ Coliseum Garden & Stage 

มองจากมุมด้านบนลงไป

สามารถใช้เป็นเวทีในการจัดงานต่างๆได้ 



สนามเด็กเล่น

งานศิลปะสไตล์เหล็กๆ
โรงแรม The Slate จะอยู่ติดกับหาดในยาง ข้ามถนนไปก็จะถึงหาดเลย เห็นเครื่องบิน Take off เป็นระยะๆ แต่คงไม่ประชิดเหมือนหาดไม้ขาวที่อยู่ใกล้กับสนามบินนานชาติภูเก็ต ทางออกไปหาดในยางก็จะมีโอ่งสีครามรายรอบ 2 ฝั่ง และมีป้ายบอกเวลาเปิด-ปิดของประตูทางออกไปหาดในยาง

ทางออกไปหาดในยาง 



หลังจากออกไปชมหาดในยางมาแล้ว เดินกลับเข้ามาสำรวจโรงแรมกันต่อ  เมื่อเดินมาสักระยะหนึ่งแบบงงๆ เพราะพื้นที่โรงแรมกว้างขวางมาก มาหยุดอยู่บริเวณด้านหน้าของฟิตเนสก็มีรายละเอียดของงานออกแบบด้วยเหล็ก และรูปสัญลักษณ์เพื่อบอกว่าเป็นสถานที่ออกกำลังกาย


เมื่อเดินมาถึงตรงโซนนี้ก็สะดุดตากับพื้นฉากหลังเป็นสังกะสีพร้อมกับสกรีนชื่อบาร์เครื่องดื่มชื่อว่า Tongkha Tin Syndicate



บาร์เครื่องดื่มแห่งนี้มีโต๊ะพูลให้แขกสามารถเล่นได้ เป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างชาติ ด้านบนเพดานมีพัดอินเดียที่ทำงานด้วยมอเตอร์ พัดโบกไปมา โทนของการตกแต่งจะเป็นสีน้ำเงินฟ้า  และเป็นเปิดโล่งไม่มีแอร์ เน้นให้บริการเครื่องดื่ม แต่ก็มีอาหารด้วย ห้องอาหารและบาร์นี้เปิดทุกวัน 11.00-24.00 น.

ด้านบนเป็นหน้าตาของพัดอินเดีย
คลิปพัดอินเดีย

โต๊ะพูลให้บริการสำหรับแขกที่เข้ามาใช้ห้องอาหารเพือการสันทนาการ


เก้าอี้และฉากหลังไว้สำหรับเป้นมุมถ่ายรูปได้ 

หลังจากนี้จะพาไปชมห้องอาหารที่มีโอกาสไปใช้บริการ 3 ร้านของโรงแรม เริ่มจาก Underground Cafe เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 12.00-18.00 น. เป็นร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆกับสระว่ายน้ำ ดังนั้นแขกที่มานั่งบริเวณร้านอาหารนี้ก็จะเป็นลูกค้าที่เข้าพักและมาว่ายน้ำ อาหารที่ให้บริการจะมีทั้งอาหารเพื่อสุขภาพและอาหารประเภทอื่นๆ เช่น พิซซ่า เบอร์เกอร์ แซนวิช อาหารไทย อาหารนานาชาติ และไอศกรีม

เมนูจะอยู่ในกรอบเหล็ก รายการอาหารมีหลากหลาย รวมถึงเมนูแนว Healthy  ทั้งอาหารและเครื่องดื่ม ที่เมนูจะมีสัญลักษณ์ Gluten Free , Contains Nut และ Vegetarian ระบุไว้ให้ลูกค้าได้ทราบ




ทางพนักงานแนะนำเครื่องดื่มคือ ChocoLoco ซึ่งอร่อยจริงตามคำแนะนำ เมนูที่สั่งก็ Avocado Roll และ Toasted Rice Crusted Crab Cake มีส่วนผสมของปูนำมาทำเป็นโทสต์ให้กรอบๆ และให้รสชาติของยำ มีส้มโอและผักเป็นส่วนประกอบรสชาติอร่อยดี และปิดท้ายด้วย ไอศกรีมอินดิโก้ ที่มีส่วนผสมของกล้วย มะนาว มะพร้าวและอัญชัน)

หลังจากสั่งอาหารเรียบร้อยพนักงานก็นำอุปกรณ์การกินมาให้ เอกลักษณ์ของช้อน ส้อม มีดของที่โรงแรมนี้จะมีดีไซน์เหมือนประแจ ซึ่งสามารถขันน๊อตได้จริง ผ้าเย็นเสิร์ฟมาบนถาดเหล็กพร้อมกับกลิ่นของผ้าเย็นก็คือกลิ่นจำปาก้า





อาหารเครื่องดื่มเริ่มลำเลียงมาเสิร์ฟ







ห้องอาหารต่อไปที่จะไปเยี่ยมชมกันคือ ห้อง Rivet เป็นห้องอาหารญี่ปุ่นแนวโมเดิร์น เปิดบริการวันพุธถึงวันเสาร์ เวลา 18.00-23.00 น. บริเวณด้านหน้าจะมีแท่นเมนูที่ทำด้วยเหล็กวางไว้ให้ดูประกอบกาารตัดสินใจ ห้องอาหารนี้จะอยู่ชั้น 1 ด้านบนจะเป็น Rebar ให้บริการเครื่องดื่ม เวลาเค้าเรียกห้องอาหารนี้จะเรียกคู่กันว่า Rivet and Rebar

มีการเล่นแสงสีนิดหน่อยตรงป้ายชื่อห้องอาหาร

แท่นวางเมนูเหล็กบริเวณด้านหน้าของห้องอาหาร

ด้านหน้าห้องอาหาร Rivet
สำหรับโทนการออกแบบห้องอาหารก็จะเป็นโทนสีดำ ขาว และมีการจัด Lighting ไม่สว่างมากนัก รูปแบบของโต๊ะเก้าอี้ก็มีหลากหลายให้เลือกนั่ง ทั้งสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ และโต๊ะนั่งแบบธรรมดา
บรรยากาศภายในห้องอาหาร รูปทรงเก้าอี้มีเอกลักษณ์




บนโต๊ะมีอุปกรณ์การกิน จาน ตะเกียบ แก้วไวน์และแก้วเครื่องดื่ม  ผ้าเย็นบนถาดเหล็กก็ถูกนำมาเสิร์ฟ บนโต๊ะมีเทียนจุดให้แสงสว่างได้ระดับหนึ่ง บนโต๊ะยังมีหินและดอกไม้วางประดับไว้


พนักงานนำเมนูอาหารมาให้พร้อมกับมีไฟฉายขนาดเล็กติดไว้ที่เมนูด้วย ช่วยอำนวยความสะดวกในการอ่านเมนูอาหารได้
เมนูอาหารที่มาพร้อมกับไฟฉายส่องเมนู
มื้อนี้สั่งเครื่องดื่ม Island Fruit Punch เป็นการนำแตงโมมาผสมกับเสาวรส มะม่วง ไซรัปชามะลิ และใส่โซดาไว้ด้านบน รสชาติออกเปรี้ยวๆ
เครื่องดื่มวันนี้ Island Fruit Punch

เครื่องดื่มมาพร้อมกับไม้คนที่เป็นรูปทรงประแจ
สำหรับอาหารที่สั่งในวันนี้เป็นเซ็ตเมนู DEGUSTATION 5 COURSE ราคาค่อนข้างแรง 1,900 ต่อคน แต่รสชาติอาหารคุ้มกับเงินที่จ่ายและอิ่มกำลังดี เริ่มต้นจากการอุ่นเครื่องด้วยซุปร้อนๆ พนักงานแจ้งว่า เป็น อูด้งนาเบะ กรรมวิธีการเสิร์ฟก็คือ อูด้งถูกเสิร์ฟมาในถ้วย จากนั้นพนักงานนำกาน้ำซุปมารินเติมต่อหน้าลูกค้า
อูด้งนาเบะ


คอร์สถัดมาเป็น Zensai mori awase หรืออาหารเรียกน้ำย่อยที่เชฟแนะนำ วิธีพรีเซนเทชั่นอาหารจานนี้ถูกนำเสนอด้วยการจัดเรียงอาหารใส่ช้อนแบบพอดีคำ ทำให้รับประทานได้อย่างง่ายดาย
Zensai mori awase
คอร์สต่อมาเป็นซาชิมิแบบฉบับ Signature ของร้าน ซึ่งเป็นปลานำเข้า เสิร์ฟมาพร้อมกับวาซาบิและโชยุ รสชาติของปลาหวานและให้ความรู้สึกว่าสดมาก
Signature Sashimi set - Imported fish
เมนูถัดมาชื่อค่อนข้างยาวl Torched Asian cod infused with bean paste; steamed Chiang Rai organic rice, chili turmeric sauce ถ้าสรุปแบบเข้าใจง่ายคือ ปลาคอดที่นำไปกริลเสิร์ฟพร้อมกับข้าวนึ่งออแกนิคและซอสขมิ้น
Torched Asian cod infused with bean paste; steamed Chiang Rai organic rice, chili turmeric sauce 


คอร์สถัดมาก็คือ Wagyu sushi หรือซูชิเนื้อวากิว พนักงานแนะนำว่า ให้รับประทานทั้งหมดในคำเดียว จะให้ความรู้สึกนุ่มและรสชาติของเนื้อวากิว

Wagyu sushi
ก่อนจะมาถึงคอร์สสุดท้าย Wagyu steak  พนักงานได้นำเตามาวางไว้ให้ พร้อมกับเนื้อวากิว 100 กรัมที่เสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำจิ้มและเครื่องเคียง จากนั้นก็นำเนื้อวากิวย่างลงบนเตาได้เลย ความร้อนจากเตานี้ทำให้เนื้อค่อนข้างสุกเร็วพอสมควร





หลังเสร็จสิ้นอาหารทั้ง 5 คอร์สของชุดนี้ พนักงานก็นำชอคโกแลตมาเสิร์ฟให้ตามภาพ เป็นรูปน๊อต เป็นการนำเสนอที่ไม่หลุดเฟรมจากบรรยากาศอุตสาหกรรมเหมืองๆ จริงๆ


ห้องอาหารถัดมาเป็นห้องอาหาร Tin Mine หรือแปลว่า เหมืองดีบุก เป็นห้องอาหารเช้า และให้บริการอาหารค่ำด้วย  ในส่วนของอาหารเช้าเรียกว่ามีครบครันแบบชุดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นสไตล์อเมริกัน ไข่ดาว ออมเลต สั่งได้ตามชอบ หมูแฮม ไส้กรอก เบค่อน สไตล์จีน ก็มีขนมจีบ ซาลาเปา นอกจากนี้ก็มีโยเกิร์ต ผลไม้ ขนมปังต่างๆ แยม เครป เบเกอรี่ เครื่องดื่มเย็นเช่น กาแฟเย็น ชอคโกแลตเย็น ชาเย็น ที่ลูกค้าสามารถผสมไซรัป นม และเติมน้ำแข็งได้ตามชอบใจ แล้วยังมีสมูทตี้ น้ำผลไม้


อุปกรณ์การกินบนโต๊ะครบครัน 

มุมติ่มซำ อาหารจีน


โซนไข่ดาว ไส้กรอก เบคอน

ขนมปังหลากหลายรูปแบบ

แยมสารพัดรสชาติ

แยมมะพร้าว มะม่วง มะละกอ และกล้วย

เครปสามารถสั่งได้ตามชอบ

มุมขนมปัง และมีปาท่องโก๋ด้วย
ผลไม้

มุมผลไม้ก็มีหลากหลาย

Station อาหารเช้า 

เครื่องดื่มเย็นสามารถชง ผสมไซรัปได้ตามต้องการ

โยเกิร์ตมะละกอ

ผลไม้


โยเกิร์ตพร้อมรับประทานหยิบได้ตามชอบใจ

แก้วสีสันสไตล์ Indigo

น้ำส้ม

มะม่วงสมูทตี้ และ น้ำแตงกวา

น้ำมะม่วง

น้ำสับปะรด
สุดท้ายเป็นอีกหนึ่งห้องอาหารที่ได้รับความนิยมถึงขนาดว่าต้องจองมาล่วงหน้า มิเช่นนั้นอาจพลาดได้ ก็คือ ห้องอาหาร Black Ginger  เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 19.00 - 23.00 น. ห้องอาหารนี้จะเป็นดีไซน์บ้านไทยสมัยอยุธยา และจะต้องข้ามน้ำไป โดยทางห้องอาหารจะมีแพโดยมีพนักงานชักรอกแพมารับลูกค้าที่มาใช้บริการ พนักงานจะมาในชุดตะเบงมาน สไตล์นักรบหญิงสมัยก่อน

ตอนกลางวัน เดินผ่านไปร้านอาหาร Black Ginger เลยเก็บภาพมาเปรียบเทียบกับช่วงกลางคืน


เมื่อถึงเวลาห้องอาหาร Black Ginger เปิดก็เดินมาพบกับความสวยงามของแสงสีน้ำเงินพร้อมกับโล่สมัยโบราณนำสายตาเข้าไปสู่ท่าน้ำที่จะม่งไปสู่ห้องอาหาร


ดูคลิปกัน แพชักรอกกำลังเข้ามารับลูกค้า


เมื่อพนักงานชักรอกมาถึงก็ขึ้นไปบนแพ บนแพจะมีที่นั่ง 2 ฝั่ง อาจจะต้องนั่งให้น้ำหนักสมดุลกันนิดนึง


เมื่อพนักงานนำทางมาที่โต๊ะที่จองไว้ก็จะนำ ผอบเหล็กมาวางไว้ให้ เปิดด้านในก็พบกับผ้าขนหนูเย็น


อุปกรณ์บนโต๊ะประกอบด้วยจาน ช้อน ส้อม ผ้า ทุกอย่างถูกคุมโทนสี เงิน เทา ดำ พร้อมกับดอกบัวประดับไว้ และมีแก้วน้ำดื่มกับแก้วไวน์วางไว้ด้วย ทุกโต๊ะจะถูกจัดแบบนี้ไว้ทั้งหมด


มาลองดูอาหารมื้อนี้กันนะครับ เริ่มจาก Complimentary จากเชฟ เรียกน้ำย่อยด้วยอาหาร 3 ชนิด ถูกนำเสนอด้วยการใส่ในช้อนแบบพอดีคำ มียำ ถุงทอง


จานถัดมาเป้นเนื้อวากิวผัดกะเพรากรอบ เนื้อถูกแร่ให้มีความหนาของชิ้นเนื้อบางๆ ผัดไม่นานนักเพราะถ้านานเชฟบอกว่าเนื้อจะเหนียว ไม่อร่อย


อาหารจานถัดมาเป็น ผัดผักเหมียงกุ้งเสียบ ก้งเสียบถือเป็นอาหารพื้นเมืองของภูเก็ต ส่วนผักเหมียง คนกรุงเทพหรือทั่วไปจะเรียกกันว่า ผักเหลียง


อาหารจานถัดมาเป็น กุ้งมังกรย่าง เสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำจิ้มซีฟู้ด และน้ำซอสมะขาม สามารถเลือกจิ้ม ราด ได้ตามที่ต้องการ

อีกหนึ่งจานที่ขาดไม่ได้ถ้ามาถึงภูเก็ตก็คือ แกงปูใบชะพลู  เสิร์ฟมาพร้อมกับเส้นหมี่ หรือถ้าเป็นคนใต้จะเรียกว่า เส้นหมี่หุ้น เสิร์ฟมาพร้อมกับผัก


ระหว่างนั่งรับประทานอาหารอยู่ก็มีเชฟเดินทักทายลูกค้าแต่ละโต๊ะ เชฟท่านนี้ชื่อ เชฟเปี๊ยก อยู่กับห้องอาหารและโรงแรมนี้มานานถึง 30 ปี ได้พูดคุยกับเชฟสักพักหนึ่ง เลยได้รู้ว่า เชฟท่านนี้ไม่ธรรมดา ประสบการณ์ด้านอาหารเพียบจริงๆ เลยขอถ่ายภาพเป็นที่ระลึกไว้

โฉมหน้าของเชฟเปี๊ยกแห่งห้องอาหาร Black Ginger 
 หลังจากคุยกันสักพักหนึงก็มีพนักงานนำอาหารพื้นเมืองอีกอย่างของภูเก็ตมาเสิร์ฟ คือ เบือทอด พนักงานบอกว่าเชฟเปี๊ยกอภินันทนาการมาให้ชิม หน้าตาดูดี รสชาติอร่อย

เบือทอด อาหารพื้นเมืองอีกอย่างหนึ่งของภูเก็ต
กินคาวต้องกินหวานด้วยไม่งั้นเค้าจะบอกว่า กินคาวไม่กินหวานสันดานไพร่ ก็เลยจัดไอศกรีมเม็ดมะม่วงหิมพานต์มาปิดท้ายมื้อนี้ รสชาติมันๆ เข้มข้น มีเม็ดมะม่วงโรยมาด้วย


เครื่องดื่มวันนี้ชื่อว่า Frozen Pina Colada ซึ่งมีส่วนผสมของมะพร้าว กล้วย มะนาว


และน้ำแร่ขวดเล็ก


หลังจากอิ่มท้องแล้วเราก็มาดูบรรยากาศโดยรอบในห้องอาหารกัน  ห้องอาหารแห่งนี้ถูกตกแต่งและจัดแสงสีเสียงเป็นโทนสีดำ และโต๊ะเต็มทุกโต๊ะ หากใครไม่จองล่วงหน้ามาอาจจะพลาดอาหารมื้ออร่อยนี้ได้

บรรยากาศภายในร้าน


ในส่วนต่อไปจะเป็นอีกหนึ่งบริการภายในโรงแรม The Slate ก็คือ Coqoon Spa โดยมีรูปลักษณ์ของห้องทำสปาที่ออกแบบโดย บิล เบนสลีย์เช่นกัน เป็นรูปรังไหมหรือเรียกว่า The Nest ประหนึ่งว่า ลูกค้ามาใช้บริการปุ๊ป เมื่อนวดผ่อนคลายเรียบร้อยแล้วจะกลายเป็นผีเสื้อที่สลัดออกจากรังไหม ก่อนอื่นก็ไปที่แผนกสปาก่อนเพื่อดูคอร์สที่จะทำสปากัน สำหรับในส่วนสปา จะเน้นการใช้หวายในการตกแต่ง ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้หวายรวมถึงห้องทำสปา The Nest ที่โครงสร้างทัหมดสานด้วยหวาย

ห้อง The Nest 
สำหรับห้อง The Nest จะมีเพียง 1 ห้อง และถ้าอยากจะใช้ห้องนี้ทางสปาจะชาร์จเพิ่ม 15 % ของเมนูสปาที่เลือก แต่สำหรับครั้งนี้พนักงานแจ้งมาว่าจะอัพเกรดให้ด้วยการเลื่อนชั้นจากห้องธรรมดาเป็นห้อง The Nest โดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม 15 %

โตีะต้อนรับลูกค้า

ผลิตภัณฑ์สปาต่างๆ 
  
โต๊ะเก้าอี้รับรองลูกค้า


เมนูสปาที่เลือกครั้งนี้เป็น Signature Treatment ของทางสปาแห่งนี้ โดยเลือก Coqoon Rebirth Massage 90 นาที หลังจากเนั้นก็กรอกข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับสุขภาพให้กับทางสปานิดหน่อย เลือกน้ำมันซึ่งมีทั้งหมด 7 แบบ คือ Relaxing - น้ำมันดอกจำปี (Champaka) Calming -น้ำมันสะระแหน่ (Peppermint) น้ำมันงา (Sesame) Detoxifying -น้ำมันตะไคร้ (Lemongrass) Balancing - น้ำมันมะกรูด (Bergamot) Stress Relief - น้ำมันยูคาลิปตัส (Eucalyptus)  Sun Oil - น้ำมันมะพร้าว (Coconut)  ก่อนจะเดินไปห้อง The Nest พนักงานนำเครื่องดื่มต้อนรับพร้อมผ้าเย็นมาเสิร์ฟ




หลังจากห้องสปา พนักงานสปาพร้อม ก็ไปเริ่มต้นการเกิดใหม่ Coqoon Rebirth Massage โดยมีพี่ซาร่าเป็นพนักงานนวดในวันนี้ พี่ซาร่าพาผมเดินไป The Nest ระหว่างเดินไปก็ได้เห็นห้องสปาเรียงรายหลายห้องเช่นกัน




เมื่อเดินขึ้นบันไดมาก็พบกับอ่างล้างเท้าวางไว้ตรงบริเวณที่พักบันได แต่เนื่องจากฝนตกก็เลยย้ายไปในห้องด้านบนแทน

เมื่อเดินขึ้นมาถึงห้องทำสปา ในห้องมี 2 เตียง พร้อมเก้าอี้นั่งภายในห้อง มีเสาอยู่ตรงกลาง มีอ่างล้างมือ และอุปกรณ์ต่างๆ ภายในห้องครบครัน



บริเวณสำหรับนั่งล้างเท้าก่อนเริ่มต้นนวด


กล่อง ถาดสำหรับใส่ของ นาฬิกา มือถือ 


พี่ซาร่าพาไปเดินผ่านห้องทำสปาไปอีกฝั่งหนึ่งเป็นห้องเปลี่ยนชุดและห้องอาบน้ำ ซึ่งเป็นห้องที่มีรูปทรงเดียวกันกับห้องสปาเช่นกัน

ฝั่งตรงข้ามเป้นห้องอาบน้ำ ห้องเปลี่ยนชุด

ฝักบัวสำหรับอาบน้ำ


อ่างล้างมือ

กระจก

เสื้อคลุม

กางเกงในใช้แล้วทิ้ง 

ตู้เซฟนิรภัยสำหรับใส่ของมีค่า

ผ้าขนหนู ถังใส่ผ้าขนหนูที่ใช้แล้ว
หลังจากนวดเสร็จ แต่งตัวเรียบร้อย เดินลงมาก็พบกับผลไม้ สับปะรดพร้อมกับกาชา ชาวันนี้เป็นชาอัญชัน



หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการก็กลับไปที่แผนกสปา เพื่อชำระค่าเสียหาย ในครั้งนี้ได้รับส่วนลดจากทางโรงแรม 30 % และได้รับการอัพเกรดห้องสปาจากธรรมดาไปห้อง The Nest

อย่างที่บอกว่าโรงแรม The Slate จะมีผลิตภัณฑ์หลายชนิดทั้งที่อยู่ในห้องพัก สปา หรือร้านอาหาร เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีดีไซน์ หากลูกค้าที่เข้าพักอยากจะเก็บไปครอบครองเป็นที่ระลึกก็สามารถแวะเวียนไปชมผลิตภัณฑ์ต่างๆได้ที่ ร้าน Retail Shop หรือ The Stock Room โดย Stock Room นี้จะอยู่ตรงเคาน์เตอร์ Concierge บริเวณล๊อบบี้ของโรงแรม บางช่วงอาจจะมีการจัดโปรโมชั่นต่างๆ

ดิสเพลย์บริเวณล๊อบบี้แจ้งโปรโมชั่น 1 แถม 1 



Tester ต่างๆ ของผลิตภัณฑ์บอดี้โลชั่น แชมพู ครีมขัดตัว สเปรย์น้ำหอมกลิ่นดอกไม้

ช้อน ส้อม มีด รูปทรงประแจที่เป็นเอกลักษณ์ของโรงแรม





ปิดท้ายการเข้าพักครั้งนี้ก็ไปติดต่อที่เคาน์เตอร์รีเซปชั่นเพื่อให้รถของทางโรงแรมไปส่งที่สนามบินนานาชาติภูเก็ต เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ ทางพนักงานเลยให้ไปนั่งรอที่ห้อง Gallery ก่อน เลยได้ไปเดินชมงานศิลปะรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง










หนังสือสามารถขอยืมไปอ่านได้ระหว่างเข้าพักที่โรงแรม
ทั้งหมดเป็นเรื่องราวตลอดการเข้าพัก 3 วัน 2 คืนที่โรงแรม The Slate ในช่วงเดือนตุลาคม 2561 เป็นการเที่ยวหน้าโลว์ซีซั่น

ถอดรหัสการสร้างแบรนด์ของ THE SLATE PHUKET

1.มีการนำเรื่องราว ภูมิหลังของความเป็นมาของจังหวัดภูเก็ตที่มีชื่อเสียงในการทำเหมืองแร่ดีบุกในอดีตมานำเสนอถ่ายทอดผ่านชื่อห้องอาหาร เช่น Tin Mine ผ่านการออกแบบห้องพัก ผ่านประติมากรรม งานศิลปะจากเหล็กและโลหะ รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆที่อยู่ในบริเวณโรงแรม

2.มีการสร้างประสบการณ์ผ่าน Sensory Branding ไม่ว่าจะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
2.1 รูป ผ่านการมองเห็น พบเห็นได้จากล๊อบบี้ที่มีสไตล์ของความเป็นอุตสาหกรรม เหล็ก และอุปกรณ์ตกแต่งโรงแรมโดยรอบ รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ ของตกแต่งภายในห้องพัก ที่เป็นส่วนผสมของไม้ เหล็ก และงานศิลปะ
2.2 รส ผ่านอาหาร ไอศกรีม เครื่องดื่มที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละห้องอาหาร เช่น ห้องอาหารไทย Black Ginger ไอศกรีมอินดิโก้ที่เป็นสีเอกลักษณ์ของโรงแรม (เดิม Indigo Pearl)
2.3 กลิ่น ถ่ายทอดผ่านผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ใช้ภายในห้องพัก เช่น กลิ่นจำปาก้า (ดอกจำปี)  ภายในห้องพักมีกลิ่นน้ำมันหอมระเหยของจำปาก้า ผ้าเย็นที่เสิร์ฟตามห้องอาหารก็ใช้กลิ่นเดียวกัน  นอกจากนี้ยังมีกลิ่นดอกไม้ชนิดอื่น เช่น แชมพูกลิ่นมะลิ ทางโรงแรมได้นำผลิตภัณฑ์สบู่ แชมพู ครีมขัดผิว บอดี้โลชั่น สเปรย์น้ำหอม และน้ำมันหอมระเหย กลิ่นดอกไม้ต่างๆ มาเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับจำหน่ายให้กับลูกค้าที่ร้าน Retail Shop หรือ Stock Room
2.4 สัมผัส ในด้านงานบริการที่มีความเป็นกันเองและนอบน้อม จุดที่สังเกตได้เวลาเดินผ่านพนักงานไม่ว่าจุดใดภายในโรงแรม พนักงานจะสวัสดีทักทายทุกคนจริงๆ

3.ความมีเอกลักษณ์ เอกลักษณ์ของโรงแรมแห่งนี้ถูกถ่ายทอดผ่านทุกจุดที่อยู่ภายในโรงแรมไม่ว่าจะเป็นห้องอาหารแต่ละห้องอาหาร สามารถสร้างจุดเด่นของตัวเองขึ้นมาได้อย่างน่าสนใจ และมีบริการที่อาจจะสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นต่างชาติ สิ่งที่โรงแรมต้องการบอกคือ ที่นี่เป็น An Avant-Garde Expression สถานที่ที่ถ่ายทอดความล้ำยุคดังนั้นเราจะสัมผัสสิ่งเหล่านี้ได้จาก สถานที่ สิ่งแวดล้อม บริการต่างๆ ที่รายล้อมรอบตัวเรา

4.สร้างประสบการณ์ WOW ในหลายๆจุด โดย WOW ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ลูกค้าได้ประโยชน์ฝ่ายเดียวแต่เป็นประสบการณ์ที่ชวนประทับใจ
4.1 WOW ที่ 1 จากที่พบเจอด้วยตนเองก็คือ การอัพเกรดห้องพักจากเดิม D-BUK Suite เป็น Pearl Bed Suite
4.2 WOW ที่ 2 ห้องอาหาร Black Ginger (ห้องอาหารไทย) ที่ต้องลงแพชักรอกข้ามฝั่งไป
4.3 WOW ที่ 3 สไตล์การออกแบบและตกแต่งของห้องอาหาร Rivet พร้อมกับรสชาติอาหารที่อร่อยจริงๆ
4.4 WOW ที่ 4 ในส่วนของสปา COQOON การอัพเกรดให้ผมได้ใช้บริการห้องสปา The Nest ซึ่งโดยปกติการใช้ห้อง The Nest จะชาร์จเพิ่ม 15 % แต่การอัพเกรดก็คือเปลี่ยนจากห้องสปาปกติไปสู่ห้อง The Nest โดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม
4.5 WOW ที่ 5 ชอบดีไซน์ของช้อน ส้อม มีด ของทางโรงแรมที่มีความเฉพาะตัว

ถ้าอ่านมาถึงจุดนี้ต้องขอขอบพระคุณผู้อ่านด้วย เพราะเป็นการเขียนที่ยืดยาวมาก เพราะไม่อยากแบ่งเป็นตอนๆ ทุกประสบการณ์ ทุกสิ่งที่เจอจากโรงแรม The Slate เป็นประสบการณ์หนึ่งที่โดยส่วนตัวประทับใจทั้งในด้านการพักผ่อน และเป็นอีกหนึ่งโรงแรมที่มีความพิถีพิถันในเรื่องการสร้างแบรนด์ ทุกอย่างเกิดจาก Passion เป็นโรงแรมที่มีเรื่องราวน่าสนใจ และบอกเล่าเรื่องราวนั้นออกมาเป็นประสบการณ์ที่สัมผัสได้อย่างแท้จริง